WHO เน้น 3ต.แก้ปัญหาโรคเอดส์

/data/content/17983/cms/17983_thaihealth_gloqtuy23456.gif

who จัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุขเร่งนโยบาย ‘เอดส์ลดให้เหลือศูนย์’ ภายใต้แนวคิด 3 ต. ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา

นพ.วิริยะ เอี๊ยวประเสริฐ ผอ.รพ.ชัยนาทนเรนทร เปิดเผยว่า จากการที่องค์การอนามัยโลก (who) ได้ให้ความสำคัญกับโรคเอดส์ ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่มีความรุนแรง มีผลกระทบต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมและต่อประเทศชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย จึงกำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก โดยมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์หลายรูปแบบพร้อมกันทั่วโลกเพื่อที่ จะพยายามหยุดยั้งโรคเอดส์ ให้ความเห็นใจ ห่วงใย ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ และให้ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ว่าเป็นอย่างไร ติดต่อทางไหนบ้าง

สำหรับ ประเด็นรณรงค์เนื่องในวันเอดส์โลกปี 2556 ที่ว่า “getting to zero” หรือ “เอดส์ลดให้เหลือศูนย์ได้” กระทรวงสาธารณสุขมีแนวนโยบายเร่งรัดการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่เป็นศูนย์ (thai getting to zero) ภายใต้แนวคิด 3 ต. คือ 1. ไม่ติด คือ ลดการติดเชื้อรายใหม่ จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ระหว่างชายกับหญิงหรือชายกับชาย จากการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก จากการใช้เข็มฉีดยา เป็นต้น 2. ไม่ตาย คือ ลดอัตราการเสียชีวิตจากเอดส์เนื่องด้วยผู้ที่ติดเชื้อ เอช ไอ วี หรือ ผู้ป่วยเอดส์สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพในสถานบริการของรัฐ อย่างรวดเร็ว ทันเวลา และ 3. ไม่ตีตรา คือ ไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์ทั้งทางกฎหมาย ทางสังคม การเรียน การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยใน ปี 2556 คาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์สะสมประมาณ 1,166,543 คน ยังมีชีวิตอยู่ 447,640 คน เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,959 คน ประมาณร้อยละ 62 เป็นการติดเชื้อในกลุ่มชายรักชาย กลุ่มพนักงานบริการหญิง และกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด ผู้ป่วยเอดส์ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 30-34 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป สาเหตุของการติดเชื้ออันดับ 1 ร้อยละ 84.26 จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน รองลงมาร้อยละ 4.36 จากการใช้สารเสพติดชนิดฉีด และร้อยละ 3.53 ติดเชื้อจากมารดา

นพ.วิริยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า โรคเอดส์ ไม่ใช่มหันตภัยหน้าใหม่สำหรับโลกวันนี้ แต่ยังคงอานุภาพร้ายแรงเพราะคุกคาม ระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอายุขัยสั้นกว่าที่ควรและที่สำคัญคือยังไม่มีวัคซีน ป้องกัน ยารักษาให้หาย ดังนั้น ปราการป้องกันด่านสำคัญ ที่สุดก็คือ ความไม่ประมาท

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code