โรคมะเร็งเต้านม ถือได้ว่าเป็นมะเร็งร้ายอันดับ 1 ของผู้หญิงทั่วโลก จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 37 ของมะเร็งทั้งหมด และยังมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปอดอีกด้วย
ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ กล่าวถึงสถิติของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่สูงขึ้นทุกๆ ปี จึงอยากเชิญชวนคุณผู้หญิงตรวจเช็กสุขภาพเต้านมของตัวเอง และเชิญชวนให้ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป เข้ารับการตรวจคัดกรอง โดยเครื่องดิจิทัลแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ เพราะหากตรวจพบในระยะแรกๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาอย่างทันท่วงที
นพ.สาธิต ศรีมันทยามาศ ศัลยแพทย์มะเร็งเต้านม โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ กล่าวว่า มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่สามารถพบได้มากที่สุดในผู้หญิง เป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต
มะเร็งเต้านม เป็นเซลล์มะเร็งที่เกิดกับอวัยวะภายนอก สามารถคลำหาได้ด้วยมือ ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมเกินกว่าร้อยละ 85 จึงมักจะมาพบแพทย์หลังจากคลำพบก้อนที่เต้านม โดยมะเร็งเต้านมสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบและได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น
วิธีที่จะช่วยให้พบเซลล์มะเร็งได้เร็วคือ การตรวจด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวนด์ (digital mammogram and ultrasound) ซึ่งสามารถหาเซลล์ที่ผิดปกติได้ตั้งแต่ขนาดเล็กในระดับมิลลิเมตร โดยปกติจะใช้เวลาตรวจ 5-10 นาที โดยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมจะกดเต้านมไว้ประมาณ 5 วินาที ภาพที่ได้จากการตรวจมีความละเอียดและความคมชัดสูง ช่วยแพทย์สามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจนเมื่อพบบริเวณที่มีก้อนเนื้อต้องสงสัยแล้วตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์ ร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อก็จะวินิจฉัยได้ว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ มีประสิทธิภาพสูงนิยายในการตรวจหาความผิดปกติของเต้านม
การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคมะเร็งเต้านมในปัจจุบันที่เป็นวิธีมาตรฐาน ซึ่งประกอบไปด้วยสองส่วนคือการผ่าตัดเต้านมและการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ การผ่าตัดเต้านมมีสองแบบคือ
โดยทั้งสองวิธีให้ผลการรักษาที่เหมือนกันคือ ผู้ป่วยมีโอกาสจะหายจากมะเร็งได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องให้เคมีบำบัด แต่หากพบมะเร็งเต้านมในระยะที่ใหญ่ขึ้น คือ ตั้งแต่ระยะที่ 1 ตอนปลายเป็นต้นไป (มะเร็งระยะแพร่กระจาย) ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด ทั้งยังต้องรักษาเสริมด้วยยาเคมีบำบัดและฮอร์โมน เพื่อลดโอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำ
ผศ.พญ.ศศิธร สุจริตธนะการ ศัลยแพทย์มะเร็งเต้านม ศีรษะ และลำคอ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอาจจะต้องพบเจอตลอดชีวิตคือ ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema and Breast Cancer) เป็นอาการแขนบวมที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดหรือรังสีรักษา อาจเกิดขึ้นทันทีหรือหลังการรักษาไปแล้วหลายปี โดยเกิดขึ้นกับแขนข้างเดียวกับที่เป็นมะเร็งเต้านม เกิดได้ตั้งแต่นิ้วมือไปจนถึงต้นแขน หากมีอาการบวมน้อยจะยังใช้แขนได้ปกติแต่ถ้ามีอาการบวมมากอาจจะใช้แขนไม่ได้ตามปกติ
สาเหตุของอาหารแขนบวมหลังรักษามะเร็งเต้านม ดังนี้
แพทย์จะประเมินหลังจากการผ่าตัดผ่านไปแล้วประมาณ 6 เดือน เพราะเป็นช่วงเวลาที่คนไข้เกิดอาการมากที่สุด ซึ่งจะประเมินได้จากภาพถ่ายเปรียบเทียบแขนทั้ง 2 ข้าง การวัดเส้นรอบวงแขนเหนือศอก การวัดปริมาตรแขน รวมถึงการตรวจอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น Lymphoscintigraphy, MRI, CT Scan เป็นต้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
ขั้นตอนการรักษาจะเริ่มด้วยการ
แม้ว่ามะเร็งเต้านมจะป้องกันได้ โดยการลดปัจจัยเสี่ยง แต่เราสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ควรตรวจด้วยวิธีคลำด้วยตนเองทุกเดือน ตั้งแต่อายุ 20 ปีควรให้แพทย์ตรวจทุก 3-5 ปี และสำหรับผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยดิจิทัลแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ทุกปี และหากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งอาจต้องตรวจเร็วขึ้นตั้งแต่อายุ 35 ปี เพราะหากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จะทำให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และสามารถลดการสูญเสียเต้านมไปได้อีกด้วย