ถ้าพูดถึงมะเร็งเต้านม หลายคนนึกถึงภาพการสูญเสียเต้านม ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องสูญเสียเต้านมเสมอไป เราสามารถรักษาโดยการเก็บเอกลักษณ์ของความเป็นผู้หญิง และเต้านมที่สวยงามเอาไว้ได้
มะเร็งเต้านมถือว่าเป็นมะเร็งอันดับหนึ่งในผู้หญิง โดยอัตราการเป็นในปัจจุบันพบว่าทุกๆ ผู้หญิง 8 ถึง 10 คน จะพบผู้หญิง 1 คนเป็นมะเร็งเต้านม ในขณะเดียวกันผู้ชายก็มีโอกาสเป็นได้ แต่ว่าพบในอัตราที่น้อยกว่ามาก โดย 100 คน จะเป็นเพียง 1 คน
ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมอีกหลายเรื่องที่หลายคนไม่ทราบและสงสัย นพ.ปิยศักดิ์ ทหราวานิช แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมเต้านมและเสริมสร้างเนื้อเต้านม ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลนวเวช จึงได้มาไขข้อข้องใจให้หายสงสัยกัน
ปัจจุบันเราพบว่าสาเหตุที่เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือพันธุกรรม เพียงแค่ 20% ส่วนอีก 80% เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นมาทีหลัง ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในระหว่างการใช้ชีวิต
กลุ่มอาการที่ควรจะมาพบแพทย์โดยด่วน คือ
ลักษณะพวกนี้จำเป็นจะต้องมาพบแพทย์โดยเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรอให้เกิดอาการ ควรมารับการตรวจคัดกรองตามโปรแกรมที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้เจอโรคตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ผลการรักษาดี มีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยทั่วไปการคัดกรองมะเร็งเต้านม ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองกับแพทย์ด้วยการตรวจร่างกาย และ/หรือการทำอัลตราซาวด์เต้านม (Breast ultrasound) ทุกๆ 3 ปี หลังจากนั้นพออายุ 35-40 ปี แนะนำให้ตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม ซึ่งปัจจุบันมีถึง 3 มิติ (3D Mammogram and Breast ultrasound) อย่างน้อย 1 ครั้ง พออายุ 40 ปีขึ้นไป แนะนำให้ทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นประจำทุกปี
การรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีการพัฒนาไปค่อนข้างมาก ไม่จำเป็นจะต้องสูญเสียเต้านมเสมอไป แต่รูปแบบทั่วๆ ไปของการรักษามะเร็งเต้านม ประกอบไปด้วย
สุภาพสตรีที่เป็นมะเร็งเต้านมสามารถให้นมบุตรได้ ไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ แต่ก่อนที่จะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อวางแผนก่อน
การเสริมเต้านมในปัจจุบัน ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับชนิดของตัวซิลิโคน (Silicone) หากใช้ซิลิโคนที่คุณภาพไม่ดี หรือคุณภาพต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อการรั่วซึมได้ค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อเกิดการรั่วซึมจะก่อให้เกิดมะเร็งในภายหลังได้ แม้ในปัจจุบันซิลิโคนมีการพัฒนาขึ้นแต่กลับพบว่า ถึงแม้ว่าไม่ได้รั่วหรือไม่ได้แตก แต่ยังกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านมอีกชนิดหนึ่งได้ที่เรียกว่า Lymphoma ซึ่งจำเป็นที่จะต้องตรวจติดตามเป็นระยะๆ เพราะฉะนั้นคนไข้ที่เสริมเต้านมมาแล้ว จำเป็นจะต้องมีการตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมสำหรับผู้เสริมเต้านม คือ 3D Mammogram (Implantation) and Breast ultrasound กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นประจำสม่ำเสมอทุกๆ ปี
ถึงแม้มะเร็งเต้านมจะเป็นโรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตในผู้ป่วยหญิงมากที่สุด และทำให้บางครั้งจำเป็นจะต้องรับการรักษาด้วยการผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้า ซึ่งการรักษาแบบนี้เป็นรูปแบบการรักษาที่ผู้หญิงทุกคนยังคงกังวลอยู่ แต่ความจริงแล้วสามารถหลีกเลี่ยงการรักษาในรูปแบบของการตัดเต้านมออกได้ โดยจะต้องตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการมาตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตามระยะทุกๆ 1 ปี ควรทำแมมโมแกรมร่วมกับการทำอัลตราซาวด์ (3D Mammogram and Breast ultrasound) กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการรักษามะเร็งเต้านม ด้วยการตัดเต้านมออกทั้งเต้าไปได้