ที่มา : คุยเรื่องเพศ ไม่ยากอย่างที่คิด โดย แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส.
แฟ้มภาพ
พ่อแม่มักคิดว่าคนที่จะคุยเรื่องเพศได้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นหมอ ครู หรือนักจิตวิทยา สรุปคือ เป็นคนที่มีความรู้ ตอบได้ทุกคำถาม แต่จากประสบการณ์ของคนทำงานส่งเสริมการพูดคุยเรื่องเพศกับกลุ่มพ่อแม่ พบว่าการคุยแลกเปลี่ยนเรื่องเพศกับเด็ก ๆ ใคร ๆ ก็คุยได้ ตอบได้ เพียงแค่รู้หลักการไม่กี่ข้อ เช่น
ตอบตรงไปตรงมา
คุณไม่ควรตอบเลี่ยง ๆ หรือโกหก เพราะจะสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีกับลูก เช่น เมื่อลูกถามว่า “หนูเกิดมาจากไหน?” ก็ไม่ควรโกหกว่า “เก็บมาจากถังขยะ” หรือ “เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่”
ผู้ใหญ่บางคนสะท้อนว่า ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่ก็เคยใช้คำตอบแบบนี้ รู้สึกน้อยใจพ่อแม่อยู่นาน จนเป็นปมอยู่ในใจ กว่าจะเข้าใจก็โตแล้ว ทำไมเราต้องให้ลูกอยู่กับความน้อยใจแบบนี้ด้วย?
ตอบให้เหมาะสมกับวัย
เด็ก ๆ จะมีความสนใจเรื่องเพศ และความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องเพศแตกต่างกันไปตามช่วงวัย เช่น
คำตอบช่วยให้ลูกรู้สึกดีกับร่างกายตัวเอง
คำตอบของคุณควรส่งเสริมให้เด็ก ๆ รู้สึกดีกับร่างกายตัวเอง เพราะจะเป็นพื้นฐานให้เขาแสวงหาข้อมูลและดูแลตัวเอง เช่น เมื่อลูกถามเรื่องประจำเดือนไม่ควรตอบว่าเป็นเลือดเสียหรือสกปรก เพราะจะทำให้ลูกไม่มั่นใจ รังเกียจอวัยวะเพศและเลือดประจำเดือนของตัวเอง ไม่กล้าซื้อ/พกผ้าอนามัย คุณควรตอบไปตามข้อเท็จจริงที่ว่า “ประจำเดือนไม่ใช่เลือดเสีย แต่เป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายผู้หญิง” หรือเมื่อลูกเล็ก ๆ สัมผัสอวัยวะเพศก็ไม่ควรดุ ตี หรือห้ามปราม แต่ควรสอนเรื่องความเป็นส่วนตัว เช่น “เป็นของส่วนตัวนะลูก อย่าเปิดให้คนอื่นดู อย่าให้คนอื่นจับ” ซึ่งจะทำให้เด็ก ๆ รู้จักดูแลร่างกายเมื่อโตขึ้น
คำตอบทำให้ลูกมั่นใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง
เด็กทุกวัยมักจะถามเรื่องความแตกต่างและกังวลที่ตัวเองไม่เหมือนเพื่อน เด็กเล็กมักถามว่า ทำไมผู้ชายมีจู๋ ผู้หญิงมีจิ๋ม เด็กโตขึ้นมาหน่อยอาจถามว่า อวัยวะเพศของเขาจะเหมือนของเพื่อนไหม ส่วนวัยรุ่นจะถามเกี่ยวกับความสวย ความงาม เช่น ทำไมหนูมีสิว เพื่อน ๆ ไม่มีสิว ทำไมหนูหน้าอกเล็กกว่าเพื่อน ทำไมผมมีขนที่ขาเยอะกว่าเพื่อน เมื่อเจอคำถามลักษณะนี้คุณควรตอบให้ลูกมั่นใจว่า “คนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ไม่มีใครเกิดมาแล้วมีสรีระร่างกายเหมือนกันทั้งหมด ย่อมมีความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ และเป็นเรื่องดีที่เราจะแตกต่าง” คุณควรอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของแต่ละคนนั้น เร็วช้าต่างกัน เป็นเรื่องปกติ แต่ในที่สุดทุกคนก็จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้เหมือนกัน
คำตอบต้องไม่ทำร้ายคนอื่น
บางครั้งเด็ก ๆ จะสงสัยเมื่อเห็นคนที่มีบุคลิกแตกต่างจากคนทั่วไปในสังคม เช่น ขณะลูกดูทีวีอาจถามว่า “ทำไมผู้ชายคนนั้นเขาแต่งตัวเป็นผู้หญิง?” คุณควรให้คำตอบที่สร้างความเข้าใจและเคารพสิทธิของคนอื่น เช่น คุณอาจตอบไปว่า การแต่งกายเป็นเรื่องของรสนิยม คนเราสามารถเลือดได้ว่าชอบแต่งตัวแบบไหน การแต่งกายต่างจากคนอื่น ๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่ดี หรือหากลูกถามว่า “ทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ตั้งท้องแล้วยังไปเรียนหนังสือได้อีก?” คุณอาจให้คำตอบเกี่ยวกับการตั้งท้องว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร และถามกลับด้วยว่า “ถ้าลูกเป็นเด็กคนนั้น ลูกจะรู้สึกอย่างไร ยังอยากเรียนหนังสือไหม?” เพื่อให้ลูกเปิดใจกว้าง เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ดูถูกคนอื่น
แสดงความคิดเห็น