ที่มา : มูลนิธิหมอชาวบ้าน
แฟ้มภาพ
มนุษย์เป็นสัตว์บกที่อยู่บนบกมานานแสนนาน ร่างกายจึงวิวัฒนาการจนเหมาะที่จะอยู่บนบกมากกว่าในน้ำ แต่บางครั้งที่เกิดความรู้สึกอยากเปลี่ยนไปดูโลกใต้น้ำ ชมปะการัง ดูหอยดูปลา แต่ครั้นจะกระโดดพรวดลงน้ำไปดื้อๆ ก็คงอยู่ในน้ำได้ไม่นาน ก็ต้องรีบโผล่หน้าขึ้นมาหายใจ เพราะคนเราไม่สามารถกลั้นหายใจได้นานๆ และเราก็ไม่สามารถหายใจในน้ำได้อย่างปลาด้วย แต่ความที่อยากอยู่ในน้ำให้ได้นานๆ นี่เอง ทำให้มนุษย์ พยายามค้นคิดอุปกรณ์ขึ้นมา เพื่อให้สามารถหายใจได้ ขณะที่อยู่ในน้ำ ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้เขาเรียกว่า เครื่องดำน้ำ
แม้จะมีอุปกรณ์ช่วยหายใจที่ทำให้คนเราแหวกว่าย อยู่ในน้ำได้นานแล้วก็ตาม แต่มนุษย์ก็ไม่ใช่กุ้ง หอย ปู ปลา ดังนั้นปัญหาทางด้านสุขภาพจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ เนื่องมาจากการปรับตัวไม่ทัน จากการ ดำน้ำที่ลึกไปกว่า 60 ฟุต หรือแม้แต่การดำน้ำตื้นๆ ก็ประมาทไม่ได้
ที่ระดับน้ำทะเลแรงกดของอากาศต่อตัวเรามีประมาณ 14.7 ปอนด์ต่อ 1 ตารางนิ้ว ซึ่งแรงกด ขนาดนี้ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นแรงกด 1 บรรยากาศ เมื่อเราขึ้นไปอยู่ในที่สูง แรงกดจะค่อยๆ ลดลงตรงกันข้าม ถ้าเราลงไปในน้ำ แรงกดจากน้ำจะเติม เข้ามาด้วย เพราะน้ำมีความหนาแน่นมากกว่าอากาศมากมาย ฉะนั้น เพียงดำน้ำลงไปแค่ 33 ฟุตในน้ำทะเล หรือ 34 ฟุต ในน้ำจืด แรงกดจะกลายเป็น 2 เท่า ซึ่งจะเป็นสูตรตายตัวเลยว่า ทุกๆ 33 ฟุตที่เราดำน้ำลึกลงไปแรงกดจะเพิ่มขึ้น 1 บรรยากาศ
อาจจะเข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่อยากจะเป็นนัก ดำน้ำ ตัวเลขเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
1. โรคแรงกดดันลด ยิ่งอยู่ในน้ำนาน หรือยิ่งดำน้ำลงลึกเท่าไหร่ ก๊าซไนโตรเจน ในอากาศที่เราหายใจก็จะละลายอยู่ในเลือด และเนื้อของเรามากขึ้นเท่านั้น พอขึ้นสู่ ผิวน้ำ แรงกดดันก็จะลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นก๊าซไนโตรเจนก็จะละลายได้น้อยลง ส่วนที่ ละลายไปแล้ว มันก็จะแยกตัวกลับสภาพ มาเป็นก๊าซดังเดิม
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือตอนเปิดขวดโซดาหรือน้ำอัดลมนั่นแหละพอเราเปิดฝาขวดปุ๊บแรงกดดันจากในขวดก็จะลดลงฮวบฮาบทันที แล้วก๊าซที่ละลายอยู่ภายใต้แรงอัดก็กลายสภาพมาเป็นก๊าซดังเดิม ซึ่งก็คือฟองอากาศที่เกิดขึ้นเต็มไปทั้งขวดนั่นเอง
แต่ร่างกายคนไม่ใช่ขวดน้ำอัดลม ถ้าหากเกิดฟองแบบนั้นขึ้นในร่างกายเราคงแย่ เพราะฟองไนโตรเจนอาจไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด หรือไปกดเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนอื่นไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการเจ็บปวดขึ้น
อาการของโรคแรงกดดันลดแสดงออกได้หลายลักษณะ เช่น อาการปวดเฉยๆ ซึ่งพบได้บ่อยมากโดยนักดำน้ำจะปวดบริเวณแขน ขา หัวไหล่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อศอก
2. อาการบาดเจ็บจากปอดขยายตัว โดยที่ก๊าซในปอดจะขยายตัวเมื่อแรงกดดันลดลง ขณะขึ้นสู่ผิวน้ำ จากความลึก ๓๓ ฟุต ซึ่งมีผลให้ ก๊าซในปอดเพิ่มปริมาณขึ้นถึงเท่าตัว ด้วยเหตุนี้เองนักดำน้ำจึงได้รับการ อบรมไม่ให้กลั้นหายใจขณะขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ให้หายใจตามปกติเพื่อเป็น การระบายอากาศที่เพิ่มขึ้นออกไปจากปอด
อาการที่น่าสังเกตว่ามีการบาดเจ็บที่ปอดเกิดขึ้นแล้ว คือ มีลมแทรกอยู่ในทรวงอกหรือใต้ผิวหนังบริเวณรอบๆ คอ ซึ่งหากคลำผิวหนังบริเวณนั้นจะรู้สึกเหมือนมีลมอยู่ข้างใน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึก อึดอัดบริเวณคอ กลืนลำบาก คอบวม และเสียงเปลี่ยนไป หรือลมที่รั่วมาจากถุงลมปอดแตก อาจไปกดหัวใจ ทำให้เจ็บหน้าอก หายใจ ลำบากหรือเป็นลมได้
3. อาการบาดเจ็บที่หูส่วนกลาง ในขณะที่ดำน้ำลึกลงไปเรื่อยๆแรงกดในรูหูจะเพิ่มขึ้นจนไปดันที่แก้วหู ถ้าร่างกายปรับตัวเองไม่ทัน แก้วหูก็จะถูกดันจนแตกได้ หรืออาจมีเลือดออกในหูส่วนกลางด้วย สังเกตได้จากอาการปวดหู หูอื้อ คลื่นไส้ และรู้สึกวิงเวียน อย่างน้อยการได้รับรู้ในเรื่องอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำน้ำ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกต้องระมัดระวัง และเตรียมพร้อมเสมอในการทำกิจกรรมที่ต้องเสี่ยงมากกว่าภาวะปกติ มีจำนวนน้อยมากต่ำกว่าจำนวน ที่กำหนดไว้ในกรณีต้องสัมผัสตลอดเวลา จึงถือว่าไม่มีอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด
แสดงความคิดเห็น