371 พลัง อปท.เคลื่อนทัพรุกสร้างสุขภาวะ
เพราะงานพัฒนาด้านสุขภาวะชุมชน ต้องเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ทำให้การทำงานขับเคลื่อนด้านสุขภาวะจึงไม่สามารถที่จะดำเนินการให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้ดำเนินงานเพื่อส่งเสริมและสร้างโอกาสการมีสุขภาพที่ดีของคนในชาติตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี ผ่านกิจกรรมทั้งด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่านสาธารณะ การสร้างงานด้านวิชาการ หรือรวมถึงการจัดทำข้อเสนอนโยบาย แม้งานขับเคลื่อนดังกล่าวจะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมในวงกว้าง และกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความตระหนักและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสุขภาพเชิงบวกในสังคมมากขึ้น หากแต่กิจกรรมระดับนโยบายและมวลชน ก็ยังไม่อาจเข้าถึงครอบคลุมในทุกพื้นที่ รวมถึงไม่สามารถตามทันปัญหาสุขภาพของประชาชนที่เกิดปัญหาขึ้นใหม่ในแทบทุกวัน ดังนั้น หากชุมชนท้องถิ่นมีศักยภาพและความพร้อมและสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพชุมชนด้วยตนเองได้ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า โดยไม่ต้องพึ่งพาการขับเคลื่อนจากภายนอกอีกต่อไป
ขับเคลื่อน 6 ประเด็นสุขภาพ
จากแนวคิดดังกล่าวมาสู่แนวทางในเชิงรุก ล่าสุด สสส. ได้ยกระดับยุทธศาสตร์การพัฒนางานสุขภาวะชุมชน ไปสู่การใช้ชุมชนเป็นตัวตั้งโดยได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาแนวทางการดำเนินงานด้านการสร้างเสริมสุขภาวะชุมชน ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญเพื่อเฟ้นหา "นักสร้างเสริมสุขภาวะชุมชน"ต้นแบบและเครือข่ายที่มาร่วมกันขับเคลื่อนงานสุขภาพให้กับชุมชนตนเอง
โอกาสนี้ สสส.ยังได้จัดลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพร้อมกัน จาก 59 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 371 แห่งมาร่วมขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินงานเสริมสร้างสุขภาวะชุมชนทั้ง 6 ประเด็น ได้แก่ 1) ชุมชนปลอดเหล้าและลดอุบัติเหตุจราจร 2) ขับเคลื่อนเกษตรกรรมเพื่ออาหารชุมชน 3) การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุ 4) การจัดการขยะและมลพิษ 5) การพัฒนาสุขภาวะเด็กและเยาวชน 6) ชุมชนปลอดบุหรี่ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา พร้อมเพรียงกัน
ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการวางกรอบการทำงานร่วมกันระหว่าง สสส.และภาคีเครือข่าย ซึ่งได้แก่ อปท.ทั้ง 371 แห่ง ในส่วนของการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากความต้องการแสดงเจตจำนงค์ของฝ่าย อปท.เอง ที่มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาเปลี่ยนแปลงชุมชนของตนให้ก้าวสู่สังคมสุขภาวะตามประเด็นสุขภาพแต่ละเรื่องที่แต่ละชุมชนมีความสนใจ
สำหรับกลุ่มผู้ที่เข้าร่วมบันทึกลงนามในครั้งนี้ สสส.จะแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่แสดงเจตจำนงค์ในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง และกลุ่มที่แสดงเจตจำนงค์ที่จะเป็นแม่ข่ายในการทำงานร่วมกับเครือข่ายอีก 20 อปท. ในฐานะศูนย์ประสานงานเครือข่าย โดยกลุ่มนี้จะเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มแข็งแล้วในระดับหนึ่ง เพื่อร่วมกันเรียนรู้ แลกเปลี่ยน และยกระดับความเข้มแข็ง ซึ่งบางแห่งมองว่ามีศักยภาพที่สามารถพัฒนาไปถึงการจัดตั้งเป็นองค์กรหรือธุรกิจเพื่อสังคมด้านสุขภาพได้เช่น ระบบการดูแลผู้สูงอายุตำบลของตนเอง ที่พร้อมจะตั้งเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร เป็นต้น
รวมพลคนเครือข่ายสุขภาพ
โดยศูนย์ประสานงานเครือข่ายที่จะจัดตั้งในการลงนามข้อตกลงครั้งนี้ ได้แก่ศูนย์ชุมชนปลอดบุหรี่ 5 แห่ง ศูนย์ควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์ 3 แห่ง ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร 11 แห่ง ศูนย์เกษตรกรรมยั่งยืนสู่อาหารเพื่อสุขภาวะ 7 แห่งซึ่งจะเชื่อมโยงกับประเด็นและการตั้งศูนย์จัดการขยะในชุมชน และศูนย์การพัฒนาสุขภาวะเด็กและเยาวชน 6 แห่ง
สำหรับกรอบในการสนับสนุนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพของภาคีเครือข่าย อปท.ทุกแห่งที่เข้าร่วมลงนามครั้งนี้ ในระดับเบื้องต้นชุมชนจะต้องทำงานด้านสำรวจและศึกษาข้อมูลสุขภาพชุมชนของตนเองทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายในชุมชน ก่อนจะนำไปสู่ภาคปฏิบัติในการขับเคลื่อน "หลังจากนั้น สสส.จะมอบทุนสนับสนุนการดำเนินงานให้ชุมชน ซึ่งจะต้องใช้ผลวิจัยชุมชนร่วมกับชุดข้อมูลเรียนรู้ของ สสส. มาเพื่อวางแผนพัฒนาสุขภาวะในชุมชน
"สสส.จะเน้นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ให้เป็นผู้ดำเนินการขับเคลื่อนด้วยตนเอง โดยพยายามผลักดันการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างกระบวนการการเรียนรู้ผ่านผู้นำชุมชน ซึ่งเป็นการสร้างเสริมความเป็นพลเมืองให้กับชุมชนท้องถิ่นต่อไป"
ขุนทะเล "ถังขยะคือขยะทางสายตา"
โสภณ พรหมแก้ว นายกองค์บริหารส่วนตำบลขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช คือตัวอย่างของ อปท.ที่เป็นศูนย์ประสานงานเครือข่ายด้านการจัดการขยะและมลพิษในชุมชน ด้วยจุดเด่นในการจัดการและแก้ปัญหาขยะในพื้นที่ โดยการใช้กลยุทธ์การสื่อสารผ่านเสียงตามสาย ซึ่งชุมชนจะมีการติดตั้งลำโพงขยายเสียงทั่วทั้ง 12 หมู่บ้าน14 ชุมชนในพื้นที่ เพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่กิจการ บอกเล่าการดำเนินงานและการขอความร่วมมือ การรณรงค์ด้านต่างๆ รวมถึงการสร้างจิตสำนึกด้านจัดการขยะ โดยรณรงค์ให้สมาชิกในชุมชนแยกขยะของตนเอง และได้จัดตั้งธนาคารขยะขึ้น ส่วนขยะที่เหลือก็จะถูกนำไปทำเป็นปุ๋ยใช้ในการเกษตร บ้างนำกลับไปใช้หรือขายต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โสภณบอกว่า ผลจากการจัดการขยะของทุกคนในชุมชนทำให้ อบต.ขุนทะเลแห่งนี้ไม่มีรถเก็บขยะหรือถังขยะในชุมชนแม้แต่ใบเดียว
"โดยพื้นฐานชุมชนเรา เป็นชุมชนที่ไม่แออัด มีประชากรเพียง 3,300 ครัวเรือน อปท.จึงมองว่าเราน่าจะเป็นชุมชนที่จัดการกันเองได้ เราได้สร้างกลไกโดยใช้คนในชุมชนเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่ "สายสืบขยะ" เพื่อคอยสอดส่องดูแล หากมีใครทิ้งขยะไม่เป็นที่จะมีคนแจ้งเตือนทันที รวมถึงการจัดตั้งอาสาสมัครเยาวชน อพม.น้อย รณรงค์เรื่องการเก็บขยะและสร้างกิจกรรมกระตุ้นจิตสำนึกต่อเนื่อง"
บ่มเพาะเยาวชนดีศรีกุดสะเทียน
วรินทร์ธร สุวรรณพรหม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลกุดสะเทียน อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู อีกหนึ่ง อปท.ที่เข้าร่วมทั้งในฐานะศูนย์ประสานงานเครือข่ายด้านการพัฒนาสุขภาวะเด็กและเยาวชน ต้นแบบ และยังได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในประเด็นการจัดการขยะและมลพิษในชุมชนในครั้งนี้พร้อมกัน วรินทร์ธรเล่าถึงความสำเร็จด้านการพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ จนทำให้ได้รับการยกระดับเป็นศูนย์ประสานงานเครือข่ายว่า ปัจจัยความสำเร็จเกิดจากชุมชนมีผู้นำท้องถิ่นโดยธรรมชาติที่เข้มแข็งในพื้นที่ ได้แก่ พระครูสิรินวการ เจ้าอาวาสวัดใหม่ศรีมงคล ที่เป็นแกนนำในการสร้างเสริมกิจกรรมหลายด้านที่พัฒนาศักยภาพเยาวชน โดยพระครูสิรินวการได้ริเริ่มจัดกิจกรรมวิถีคนดีศรีกุดสะเทียน ด้วยเงินสนับสนุนจากกรมสวัสดิการชุมชน ด้วยต้องการสร้างขวัญกำลังใจให้เด็กทำดีเป็นตัวอย่างในชุมชน ซึ่งจากเดิมมีปัญหาติดยาเสพติด ไม่เรียนหนังสือ และมีปัญหาทะเลาะต่อยตีเป็นประจำ เนื่องจากเป็นชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบท เด็กจึงมีบุคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะต้องไปทำงานในกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ยังจัดให้มีโครงการอาหารปลอดภัย ด้วยการมอบเงินทุนให้โรงเรียนละ 5,000 บาท เพื่อนำไปเป็นทุนในการสร้างแหล่งอาหารกลางวัน ขณะเดียวกัน อปท.ก็ได้ร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนตีกัน โดยได้เชิญผู้อำนวยการโรงเรียนในชุมชนมาร่วมทำความเข้าใจ ตลอดจนสนับสนุนการสร้างลานกีฬาและกิจกรรมใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ โดยภายหลังการเข้าร่วมเป็นภาคีโดยการ ลงนามข้อตกลงสร้างเครือข่ายด้านการพัฒนาเยาวชน วรินทร์ธรจึงมีความหวังว่า ชุมชนจะมีโอกาสในการยกระดับและต่อยอดงานด้านพัฒนาศักยภาพเยาวชนในพื้นที่ไปสู่ความเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพต่อไป
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ