10 ปี ไทยคุม ‘น้ำเมา’ เห็นผล และยังต้องทำต่อ

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน


ภาพประกอบจาก สสส.


10 ปี ไทยคุม 'น้ำเมา' เห็นผล และยังต้องทำต่อ thaihealth


เมื่อช่วงปลายปี 2561 ศูนย์วิจัยปัญหาสุราร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 10 ในหัวข้อหลัก "สิบปี พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551: ประเทศไทยได้อะไร" ณ โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค


ศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวถึงสถานการณ์การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 10 ที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการตั้งข้อสังเกตว่า พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ของประเทศไทย เน้นการปกป้องเด็ก เยาวชน และประชาชนให้เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ยากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่เน้นไปที่การควบคุมการดื่มแบบอันตราย


"ขณะที่ในแง่การดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ฉบับนี้ จากข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2561 พบว่า มีคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัดเพียง 33 จังหวัด ที่ส่งรายการการดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในจำนวนนี้มีเพียง 18 จังหวัด คณะกรรมการที่แต่งตั้งมีองค์ประกอบถูกต้องและมีการประชุมแล้ว ขณะที่บางจังหวัดยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ บางจังหวัดองค์ประกอบไม่ถูกต้อง บางจังหวัดยังไม่เคยมีการประชุม" ศ.ดร.พญ.สาวิตรีกล่าว


10 ปี ไทยคุม 'น้ำเมา' เห็นผล และยังต้องทำต่อ thaihealth


นอกจากนี้ ศ.ดร.พญ.สาวิตรี กล่าวว่า ในส่วนเนื้อหาของกฎหมายยังมีข้อวิจารณ์ว่ามีเนื้อหาไม่ชัดเจน โดยเฉพาะมาตรา 32 เรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มแข็ง อันเกิดจากเจ้าหน้าที่เองก็ไม่รู้ว่าการกระทำแบบใดผิดกฎหมาย และไม่รู้อำนาจหน้าที่ของตัวเอง เช่นเดียวกับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เช่น ฐานข้อมูลคดีความ และนโยบายเรื่องการออกใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลสำรวจชี้ว่าประชาชนยังคงพบเห็นการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่และช่วงเวลาที่ห้ามจำหน่าย รวมถึงพบเห็นการจำหน่ายให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ส่วนการรับรู้กฎหมายนั้น พบว่าประชาชนมีความรู้เรื่อง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ หรือมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่ำกว่าร้อยละ 70


ขณะที่ นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำเสนอเรื่องบทบาทของภาครัฐในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


10 ปี ไทยคุม 'น้ำเมา' เห็นผล และยังต้องทำต่อ thaihealth


นพ.นิพนธ์ กล่าวว่า นอกจากบทบาทในการพัฒนานโยบายและการกำหนดให้มีระบบเฝ้าระวังแล้ว อีกบทบาทที่สำคัญคือ การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับ ติดตาม และประเมินผล ตามที่ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องแอลกอฮอล์ฯ และกฎหมาย อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ ยังไม่มีข้อมูลความชุกของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกปี


นพ.นิพนธ์ ยังกล่าวย้ำถึงปัญหาการตีความของมาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องแอลกอฮอล์ฯ และการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ขาดการประเมินผลของกฎหมายหรือมาตรการว่า มีประสิทธิผลหรือไม่ อีกทั้งบุคลากรสาธารณสุขยังไม่มีความเชี่ยวชาญในการเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมาย และยังขาดการประเมินการบริการ ความพร้อมของสถานพยาบาลในการให้บริการแก่ผู้มีปัญหาการดื่มสุราด้วย


10 ปี ไทยคุม 'น้ำเมา' เห็นผล และยังต้องทำต่อ thaihealth


ทางด้าน ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษา สสส. กล่าวว่า ไม่มีมาตรการใดมาตรการหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยหรือคนไทยลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงไปถึงระดับที่อยากจะเห็น แต่จะต้องอาศัยหลายมาตรการ และที่สำคัญจะต้องใช้พื้นที่เป็นหลัก โดยต้องหาคนในพื้นที่มาเป็นพวก เปลี่ยนค่านิยมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหม่


"เพราะจากผลสำรวจก็เห็นแล้วว่า แม้ประชาชนร้อยละ 80-90 จะเห็นถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ยังมีการดื่มอยู่ ตัวอย่างความสำเร็จ เช่น การปลอดเหล้าในงานประเพณี จ.สุรินทร์ ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่าจะทำได้ อย่างไรก็ตาม การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องไม่จบที่การเป็นไม้จิ้มฟัน ยังต้องหาทางแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรา 32 เรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ส่วนตัวแล้วอยากให้มีการห้ามทั้งหมด จะได้ไม่ต้องนั่งตีความกันอีก" ศ.นพ.อุดมศิลป์กล่าว และว่า "นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้มีการประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะทุก 3 เดือน และ 6 เดือน เพื่อทบทวนงานที่ทำมาทั้งหมดว่าถูกผิดอย่างไร และควรแก้ไขอย่างไร ที่สำคัญที่สุด จะต้องไม่โยนหน้าที่กัน ทั้งฝ่ายราชการที่เป็นผู้ถือกฎหมาย และภาคประชาชนที่มีหน้าที่สนับสนุน"


10 ปี ไทยคุม 'น้ำเมา' เห็นผล และยังต้องทำต่อ thaihealth


ขณะที่ ดร.เรณู มาดาเนียล การ์ก ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่เคยทำงานอยู่ที่สำนักงานประจำภูมิภาคขององค์การอนามัยโลก ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ประเทศไทยถูกมองเป็นประเทศต้นแบบ โดยประเทศต่าง ๆ มักถามว่าประเทศไทยจัดการเรื่องนี้อย่างไร


อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเสนอว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายที่ดีแล้ว แต่ก็ยังต้องบังคับใช้ให้เข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะ 1.คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด ต้องมีบทบาทที่เป็นผู้นำมากขึ้น 2.ทำให้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่เรื่องปกติ ในบางประเทศการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น ในภาพยนตร์ หรือแม้แต่อินเดียที่มักมีภาพการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปรากฏตลอดเวลา ในขณะที่บางประเทศมีคำเตือนและภาพบนซองบุหรี่ ดังนั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรจะมีเช่นกัน นอกจากนี้ มองว่าสื่อและผู้มีชื่อเสียงสามารถมีบทบาทช่วยในเรื่องนี้ได้


และ 3.เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาแทรกแซงในระดับนโยบายมากขึ้น จะต้องมีการเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจในระดับนโยบายโปร่งใสมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยอาจใช้การเคลื่อนไหวระดับโลก เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มาสนับสนุน รวมถึงนำข้อมูลต่างๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งสำหรับผู้กำหนดนโยบาย สื่อมวลชน และภาคประชาสังคม ซึ่งองค์การอนามัยโลกยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงานของประเทศไทย

Shares:
QR Code :
QR Code