ไทยเสี่ยงโรคอ้วนยอดทะลุ 4 ล้านคน
สสส.ร่วมกับเครือข่ายเสียงประชาชน (we voice) และนักวิชาการอิสระ เผยผลการสำรวจสถานการณ์สุขภาพของคนไทยเป็นโรคอ้วนลงพุงพุ่งติดอันดับ 5 ในเอเชีย และเสียชีวิตจากโรคอ้วน 20,000 คนต่อปี
ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางงานสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสภาพแวดล้อมในสังคมไทยเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตของคนไทยก็เปลี่ยนไปจากเดิมที่คนสมัครก่อนจะหิ้วปิ่นโต รับประทานข้าวกับน้ำพริกผักต้ม มีกิจกรรมออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน หรือเดินมากกว่าที่จะใช้รถ แต่ปัจจุบันคนไทยหันมารับประทานอาหารฟาดฟู้ด แฮมเบอเกอร์ และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทำให้ถูกโรคอ้วนคุกคามคนไทยมาตลอดช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ดังนั้น ต้องเปลี่ยนที่ค่านิยมของการรับประทานอาหาร เพราะความอ้วนเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ความอ้วนก็จะเป็นภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพของคนไทย โดยปัจจุบันพบว่าคนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนสูงขึ้นถึงปีละ 4 ล้านคน หรือติดอันดับที่ 5 ของแถบเอเชีย แปซิฟิก และต้องสูญเสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างโรคเบาหวาน ความดัน ที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากโรคอ้วนถึงปีละ 20,000 คน
“ครั้งนี้ถึงเป็นการรณรงค์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อกระตุ้นเตือนคนไทยให้หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ด้วยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และต้องควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติเองไม่สามารถมีใครมาทำแทนได้ หากเราสามารถลดพุง ลดอ้วนได้ เราก็จะยิ่งห่างไกลโรคภัยโรคภัยต่างๆ ร่างกายของแข็งแรง” ศ.ดร.อุดมศิลป์ กล่าว
ด้าน ศ.ดร. ปาริชาต สถาปิตานนท์ ประธานคณะกรรมการเครือข่ายเสียงประชาชน (we voice) ในฐานะผู้ทำการสำรวจภาวะคนไทยซ่อนอ้วน และสถานการณ์สุขภาพของคนไทยกับภาวะอ้วนลงพุง กล่าวว่า จากการสำรวจคนไทย 1,002 คน โดยแบ่งเป็นเพศหญิง 59% และเพศชาย 41% จำแนกในรายภาคแบ่งเป็น กรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 201 คน จ.ชลบุรี 200 คน จ.ขอนแก่น 201 คน จ.เชียงใหม่ 200 คน และจงสงขลา 200 คน อายุอยู่ระหว่าง 21 ปีถึง 45 ปี พบว่าในจำนวนผู้ถูกสัมภาษณ์บอกว่าตัวเองอ้วนลงพุง 38% ไม่อ้วนลงพุง 59% และพอดี 3% โดยในจำนวนนี้รู้สึกว่าอยากอ้วนขึ้น 7.6% อยากผอมลง 43% และพอใจแล้ว 48.5% ซึ่งคนไทยจำนวน 56.1% ไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง
“หากลงรายละเอียดของจำนวนคนไทยใน 10 คนจะมีผู้หญิงอยากผอมลง 5.5 คน และผู้ชายอยากผอมลง 3 คนและเมื่อสำรวจถึงความรู้พื้นฐานด้านโภชนาการของคนไทย พบว่าคนส่วนใหญ่คิดว่าตนเองมีความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการ โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การอ่านฉลากสินค้าก่อนเลือกซื้อ และปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคน้ำตาลนอกมื้ออาหารไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน แต่กลับพบว่า มีเพียง 49.5 % เท่านั้นที่รู้ว่าควรรับประทานน้ำมัน นอกมื้ออาหารได้เพียงวันละ 1 ช้อนชา หมายถึงว่า ผู้ที่ถูกสำรวจเกินครึ่งไม่ได้ใส่ใจในการบริโภคน้ำมันต่อวัน” ศ.ดร.ปาริชาติ กล่าว
ศ.ดร.ปาริชาต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการทดลอง 2 หัวข้อ เพื่อทดสอบความเข้าใจของผู้ถูกสำรวจเรื่องของพลังงานของอาหารที่ปรุงต่างกัน ในกลุ่มของอาหารแลเครื่องดื่ม โดยกลุ่มอาหารใช้ไข่สามแบบ เป็นตัวแทนในการทดสอบ เช่น ไข่ต้ม ไข่ดาว และไข่เจียว พบว่าคนไทย 51.6% ยังไม่ทราบว่าไข่เจียวให้พลังงานสูงสุดและมากกว่าไข่ต้มถึง 3.5 เท่า ส่วนกลุ่มของเครื่องดื่ม ได้แก่ นมเปรี้ยว ชาเขียว ชานมไข่มุก น้ำอัดลม กาแฟสด และน้ำผลไม้ พบว่า คนไทยนิยมดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมมากที่สุดถึง 52% รองลงมาคือ กาแฟสด 45.2% โดยคนกรุงเทพบริโภคกาแฟมากที่สุด ขณะที่การสอบถามว่าเครื่องดื่มชนิดใดมีน้ำตาลมากที่สุด กลับพบว่าคนไทย 89.7% ไม่รู้ว่านมเปรี้ยวขนาด 400 มิลลิกรัม มีน้ำตาลถึง 19 ช้อนชา
“เมื่อสอบถึงปัญหาอุปสรรคสำคัญในการดูแลพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง 39.8% ไม่มีเวลาออกกำลังกาย 49.3% ไม่มีความตั้งใจออกกำลังกาย 32.7% ไม่มีเพื่อนที่จะร่วมกิจกรรมออกกำลังกาย 17.2% ลักษณะการทำงานไม่เอื้อให้ประกอบกิจกรรมทางกาย 33% และไม่มีพื้นที่ อุปกรณ์ 19.7 % ซึ่งจะเห็นว่าในจำนวนที่มากที่สุดคือ การทำงานไม่เอื้อให้เกิดกิจกรรมทางกาย เพราะส่วนใหญ่จะนั่งอยู่กับที่แล้วก็รับประทานอาหาร ดังนั้นจึงคิดว่าการจะกระตุ้นให้คนไทยหันมาลดพุง ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันออกแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่ให้พนักงานได้มีการเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ เพื่อให้ไขมันที่สะสมในร่างกายได้ถูกนำมาใช้ ไม่สะสมจนอ้วนลงพุง” ศ.ดร.ปาริชาต กล่าว
ขณะที่ รศ.นพ.ปัญญา ไข่มุก คณะกรรมการบริหารแผนสำนักรณรงค์สื่อสารสังคม สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันตนเชื่อว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวโภชนาการ ซึ่งถือเป็นภัยร้ายที่ค่อยๆคร่าชีวิตคนไทยไปในทุกนาที หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ดังนั้น สสส.ในฐานะที่รับผิดชอบส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดีจึงเร่งรณรงค์ผ่านแคมเปญลดพุง ลดอ้วน เพื่อเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้านโภชนาการ เพราะกระตุ้นให้คนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดอาหารมัน อาหารทอด และหันมารับประทานอาหารนึ่งและต้มเพิ่มขึ้น เพื่อลดการเกิดโรคอ้วนลงพุง ผ่านสื่อโฆษณา และรายการโทรทัศน์ 3 รายการ ได้แก่ the firm องค์กรซ่อนอ้อน ทราบแล้วเปลี่ยน และ fat fact ความจริงรอบพุงและสร้างกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆได้เข้าร่วมกิจกรรมลดพุง ลดโรคด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ