ไทยพยายาม “ฆ่าตัวตาย”กว่าครึ่งแสน

 ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์


ไทยพยายาม “ฆ่าตัวตาย”กว่าครึ่งแสน thaihealth


แฟ้มภาพ


          กรมสุขภาพจิต เร่งป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย ในปีนี้เน้นหนักที่กลุ่มพยายามฆ่าตัวตาย ไม่ให้กระทำซ้ำ ผลสำรวจล่าสุด คาดว่าจะมีผู้พยายามฆ่าตัวตายประมาณ 53,000 คน เนื่องจากร้อยละ 15 กลุ่มนี้จะกลับทำซ้ำอีกภายใน 1 ปี ทำให้ประเทศสูญค่ารักษาปีละ 300 ล้านบาท โดยพัฒนาความรู้แพทย์ในรพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป และรพ.ชุมชนในการดูแลรักษา และขึ้นทะเบียนผู้ป่วยทุกคนเป็นฐานข้อมูลผ่านระบบออนไลน์เพื่อการดูแลเฝ้าระวังเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย พร้อมทั้งปรับโฉมแอพลิเคชั่นสบายใจเพิ่มคลิบวิดีโอความรู้ เตรียมเพิ่มเกมเสริมสร้างความคิดบวกอีกด้วย


          นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาล(รพ.)จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายในปีงบประมาณ 2561 ว่า นอกจากรพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์จะเป็นศูนย์เชี่ยวชาญรักษาผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการรุนแรงยุ่งยากซับซ้อนที่ส่งต่อมาจาก 4 จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 7 คือร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และมหาสารคามแล้ว ยังเป็นศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายในระดับชาติด้วย จากการติดตามสถานการณ์ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ 2557-2559 ประเทศไทยมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเฉลี่ย 4,100 คนหรือพบทุก 2 ชั่วโมง อัตราอยู่ที่ 6.35 ต่อประชากรทุก 1 แสนคน ในปี 2560 ประมาณการว่าจะมีแนวโน้มลดลงที่ 6.03 ต่อประชากรทุก 1 แสนคน


          ในปี 2561 นี้ กรมสุขภาพจิตมีนโยบายเน้นหนักที่การป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยเน้นหนักที่กลุ่มที่พยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งจากผลสำรวจปัญหาสุขภาพจิตระดับชาติครั้งล่าสุดในปี 2556 พบคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป มีอัตราพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ร้อยละ 0.1 คาดว่าทั่วประเทศจะมีประมาณ 53,000 คน ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุ 35-39 ปี และในกลุ่มนี้ร้อยละ 15 จะกลับทำซ้ำอีกภายใน 1 ปี จึงตั้งเป้าจะป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายซ้ำ :ซึ่งช่วยให้ประเทศลดการสูญเสียด้านเศรษฐกิจ ได้ปีละ 300 ล้านบาท


          อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวต่อว่า มาตรการป้องกันการฆ่าตัวตายซ้ำ จะเน้นหนัก 3 เรื่อง ประการแรกคือการเพิ่มพูนความรู้แก่แพทย์ทั่วไป แพทย์เวชปฏิบัติในรพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไปและรพ.ชุมชน ในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่พยายามฆ่าตัวตาย โดยกรมฯได้จัดทำคู่มือในการตรวจวินิจฉัยโรคเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และขึ้นทะเบียนในการติดตามกลุ่มนี้ให้เข้าถึงบริการโดยเฉพาะ ประการที่2 คือการปรับฐานข้อมูลผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาโดยออกแบบให้แพทย์ทั่วประเทศสามารถส่งข้อมูลผู้ป่วยเข้าศูนย์ข้อมูลกลางที่รพ.จิตเวชขอนแก่นฯทางระบบออนไลน์ ซึ่งจะปรากฏเป็นทะเบียนของผู้ป่วยในแต่ละจังหวัด สามารถใช้ติดตามเฝ้าระวังผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ฆ่าตัวตายซ้ำ โดยเฉพาะการใช้เป็นข้อมูลการติดตามเยี่ยมบ้านของทีมหมอครอบครัวและการดูแลในระดับพื้นที่ที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย มาตรการที่ 3 คือเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการ โดยให้ความรู้ประชาชนผ่านแอพพลิเคชั่นสบายใจ(sabaijai) เชื่อมโยงกับสายด่วนสุขภาพจิต 1323


          ทางด้านนายแพทย์ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการรพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์กล่าวว่า การฆ่าตัวตายเป็นปรากฎการณ์แสดงถึงความอ่อนแอของบุคคลในการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญปัญหาที่เกิดขึ้น สาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายมาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ ความสัมพันธ์บุคคลเช่นทะเลาะกัน ถูกตำหนิ ดุด่า ครอบครัวมีปัญหาความสัมพันธ์ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่มีคนดูแล จะมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสำเร็จ 4 เท่าตัวของผู้สูงอายุทั่วไป รองลงมาคือ ปัญหาการเจ็บป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงเป็น 3 เท่าของคนที่ฆ่าตัวตายที่ไม่ป่วย และ 3.จากปัญหาเศรษฐกิจ


          ที่ผ่านมา จะพบจำนวนผู้ฆ่าตัวตายสูงในเดือนมีนาคมและเมษายนเกิน 400 ราย ขณะที่เดือนอื่นๆประมาณ 300 กว่าราย สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าคนทั่วไปที่ประชาชนต้องช่วยกันเฝ้าระวังมี 5 กลุ่มได้แก่1. ผู้ป่วยโรคจิตเวชที่เกิดจากการเสพสารเสพติด เช่นเหล้า ยาบ้า 2. กลุ่มสูญเสีย หรือผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุรุนแรง 3. กลุ่มที่มีประวัติการฆ่าตัวตาย 4. กลุ่มพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์หุนหันพลันแล่น และ 5. กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานหรือมีอาการรุนแรง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคทางจิตเวช ทั้งนี้หลักการสังเกตผู้ป่วยที่อาจมีความเสี่ยงฆ่าตัวตาย หากพบว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจากเดิมเช่น เก็บตัว ท้อแท้สิ้นหวัง หมดหวังในชีวิต พูดสั่งเสีย ถือว่าเป็นสัญญาณเตือน ขอให้รีบไปพูดคุย จัดการปัญหาให้เบื้องต้น หากยังไม่ดีขึ้น ให้รีบพาไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านให้เร็วที่สุด หรือโทรปรึกษาสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง


          สำหรับการให้ความรู้ประชาชนผ่านทางแอพพลิเคชั่นสบายใจนั้น นายแพทย์ณัฐกรกล่าวว่า ขณะนี้ได้ปรับปรุงให้ทันสมัยยิ่งขึ้นสามารถใช้ได้ทั้งระบบไอโอเอส และแอนดรอยด์ โดยได้เพิ่มหมวดการให้ความรู้ผ่านทางคลิปวิดีโอสั้นๆ เข้าไป สามารถดาวน์โหลดเก็บไว้ในเครื่องได้ ขณะนี้มีผู้ใช้งานแล้วประมาณ 15,000 คน จากการประเมินเบื้องต้นพบว่ามีความพึงพอใจในระดับสูง และอยู่ระหว่างการพัฒนาแอพฯนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพการสื่อสาร สามารถโต้ตอบปัญหาได้ทันที ขณะเดียวกันจะเพิ่มเกมให้ผู้ใช้ เล่นเพื่อสร้างสรรค์ความคิดเชิงบวก คาดว่าจะเสร็จในเร็วๆ นี้


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code