ไทยดื่มหนักติดอันดับ 78 โลก เฉลี่ย 7.1 ลิตรต่อคน

           กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รุกหนักกระตุ้นยอดขาย ทุ่มงบโฆษณาเพื่อทำกิจกรรม และทำประชาสัมพันธ์มหาศาล หวังสร้างลูกค้ากลุ่มใหม่ ดึงกลุ่มลูกค้าเก่า

/data/content/26643/cms/e_bfijmrsw1248.jpg

          วันที่ 1 ธันวาคม ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) กล่าวในงานประชุมวิชาการสุราแห่งชาติครั้งที่ 8 หัวข้อ ทศวรรษแห่งการเรียนรู้และการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อลดปัญหาแอลกอฮอล์ในสังคมไทย จัดโดย ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ขณะนี้มีความพยายามของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่รุกหนักกระตุ้นยอดขาย ทุ่มงบประมาณด้านการตลาดจัดกิจกรรม โฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างมหาศาล เพื่อสร้างลูกค้ากลุ่มใหม่และรักษากลุ่มลูกค้าเดิมไว้ สอดคล้องกับงานวิจัย ที่ระบุว่า การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลต่อการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกในตราสินค้า ทำให้รู้สึกอยากดื่มและเชื่อมั่นในยี่ห้อที่นำเสนอ

          “แม้มีการควบคุมการโฆษณาโดยตรงบนโทรทัศน์และวิทยุแต่ยังพบเห็นในรูปแบบอื่นๆเช่น ป้ายโฆษณา ป้ายแบนเนอร์ตามร้านอาหาร การจัดบูธ การจัดกิจกรรมคอนเสิร์ต การจัดกีฬา กิจกรรมเพื่อสังคม ( CSR) ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งยอดการโฆษณาช่วงเทศกาลวันสำคัญจะสูงกว่าวันธรรมดามาก อย่างไรก็ดี จากการศึกษา พบว่า ประเทศที่มีการควบคุมการโฆษณาอย่างสิ้นเชิง สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ถึงร้อยละ 23 และยิ่งควบคุมการโฆษณามากเท่าไหร่ การดื่มและผลกระทบจะลงลดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมาตรการควบคุมต่างๆนั้น นอกจากควบคุมการโฆษณาแล้ว ต้องสร้างค่านิยมใหม่ให้เกิดขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อมีการโฆษณาเหล่านี้ทำให้สังคมอาจเข้าใจผิดว่า การดื่มสุราเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งไม่ใช่เลย ขณะนี้ สธ.กำลังสร้างค่านิยมใหม่โดยการติดฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ”

          นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณปีละ 3.3 ล้านคน และก่อให้เกิดความสูญเสียทางสุขภาพร้อยละ 5.9 ของภาระโรคทั่วโลก ในประเทศไทยการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพอันดับ 1 ที่ก่อให้เกิดให้เกิดการสูญเสียชีวิตในเพศชายถึงร้อยละ 8.6 ของการเสียชีวิตทั้งหมด การลดพฤติกรรมและควบคุมการดื่มสุรา เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไก ถือเป็นภารกิจหลักของสสส. และมีเป้าหมายระยะยาวที่จะลดจำนวนผู้ที่ดื่มสุราให้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 27 ในปี2563

          นายพิชัย สนแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 แสนคน ส่วนใหญ่นักดื่มเหล่านี้ คือกลุ่มเด็กและเยาวชน จากข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราปี2554 พบว่าเกินครึ่งดื่มเบียร์มากที่สุด รองลงมา คือ สุราสี สุรากลั่น นอกจากนี้จำนวนร้านขายยังเพิ่มสูงขึ้น ในปี2554 มีร้านที่มีใบอนุญาตจำหน่ายสุรากว่า 600,000 ร้านทั่วประเทศ

          โดยเหตุผลที่ร้านค้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นคือ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจำหน่ายสุรามีราคาถูกมาก และสามารถขอได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังมีร้านหรือจุดจำหน่ายสุราอีกจำนวนมากที่ไม่มีใบอนุญาต ซึ่งส่งผลให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หาซื้อได้ง่ายขึ้นด้วย โดยใช้เวลาในการซื้อเฉลี่ย 2 นาที

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกปี2557 ระบุว่า ประเทศไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นอันดับที่ 78 ของโลก เฉลี่ย 7.1 ลิตรต่อคน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้หญิง คิดเป็นค่าใช้จ่ายค่าสุราคนละ 509 บาทต่อวัน หรือประมาณ 6,108 บาทต่อปี โดยสาเหตุที่หันมาดื่มเพราะต้องการผ่อนคลายจากการทำงาน การเรียน เท่ต้องการได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูง ประกอบกับหาซื้อง่าย ใกล้บ้าน ใกล้สถานศึกษา เดินทางไม่ถึง 5 นาทีก็หาซื้อได้แล้ว แต่ที่น่ากังวลคือ บางคนรู้สึกว่าดื่มเพราะมาจากการส่งเสริมการขาย(CSR) หรือเห็นโฆษณาผ่านสังคมออนไลน์ อย่างไรก็ตาม จากปัญหาเหล่านี้หากไม่ดำเนินการควบคุมมากขึ้น อีก 5 ปีประเทศไทยมีแนวโน้มการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันดับที่ 56

 

 

             ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์ 

Shares:
QR Code :
QR Code