“ไข้กระต่าย” โรคร้ายตัวใหม่คร่าชีวิต

เตือนอย่าสัมผัสสัตว์เลี้ยงจำพวกฟันแทะโดยตรง

        

         กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยไข้กระต่ายเสียชีวิตรายแรกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังส่งเชื้อไปตรวจในแล็บที่อเมริกา เตรียมรายงานองค์การอนามัยโลกเป็นโรคอุบัติใหม่ที่พบในไทย เตือนพวกนิยมเลี้ยงสัตว์นอกอย่าลักลอบนำเข้า เสี่ยงเป็นช่องทางแพร่เชื้อแปลกใหม่เข้าไทย แนะอย่าสัมผัสสัตว์เลี้ยงโดยตรง นอกจากนี้ให้ล้างมือบ่อยๆ เพราะเชื้อติดต่อทางน้ำลาย น้ำมูก กินเนื้อและถูกเห็บกัด

 

          เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 มี.ค. ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข น.พ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงโรคทูลารีเมีย (tularemia) หรือโรคไข้กระต่าย ที่ติดต่อจากสัตว์ฟันแทะ เช่น กระต่าย กระรอก และหนู เป็นต้น ซึ่งพบผู้ป่วยและเสียชีวิตที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นรายแรกของประเทศไทยว่า เชื่อว่าผู้เสียชีวิตมีประวัติสัมผัสกระต่าย โดยที่บ้านมีการเลี้ยงกระต่ายพันธุ์ไทยจำนวนมาก เชื่อว่าจะได้รับเชื้อทั้งจากทางเดินหายใจ การสัมผัสสารคัดหลั่งทางปาก จมูก เบื้องต้น ยังไม่พบว่ามีสมาชิกในครอบครัวติดโรคดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งร่วมด้วย ทำให้มีภูมิคุ้มกันน้อยกว่าคนอื่น

 

          อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวอีกว่า คาดว่าอีก 2 สัปดาห์ผลยืนยันทางห้องแล็บจากประเทศสหรัฐ   อเมริกาจะรู้แน่ชัดว่าเป็นเชื้อสายพันธุ์เอ หรือบี หากเป็นชนิดเอจะมีความรุนแรงมากกว่า ส่วนการควบคุมโรคในเบื้องต้นได้ประสานไปยังกรมปศุสัตว์ ให้สุ่มตรวจเชื้อทั่วประเทศ รวมถึงกำชับให้สำนักงานสาธารณสุข (สสจ.) ทั่วประเทศรายงาน หากพบผู้ป่วยต้องสงสัยหรือเป็นโรคนี้ เนื่องจากเป็นหนึ่งในโรคอุบัติใหม่ของไทย จึงต้องรายงานไปยังองค์การอนามัยโลก และต้องให้ความรู้ในการป้องกันแก่ประชาชน และแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยและวิธีการรักษา เพราะในตำราแพทย์ที่เรียนในไทยยังไม่มีโรคนี้

 

          น.พ.ธวัชกล่าวด้วยว่า โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ฟรานซิเซลล่า ทูลารีนซิส

(francisellatularensis) เดิมพบในสัตว์ป่าและติดต่อในหมู่สัตว์ป่าด้วยกัน แต่เมื่อคนนำสัตว์ป่า เช่น กระต่าย กระรอก มาเลี้ยงมากขึ้น ทำให้โรคนี้ติดต่อจากสัตว์มาสู่คน จัดเป็นโรคประจำถิ่นของทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ที่สำคัญเชื้อชนิดนี้เครือข่ายเฝ้าระวังการก่อการร้ายโลกได้ขึ้นบัญชีเป็นเชื้อโรคที่ผู้ก่อการร้ายทั่วโลกนิยมนำไปผลิตเป็นอาวุธชีวภาพ เนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อจากคนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งเมื่อมีอาการก็จะคล้ายกับโรคอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่ระมัดระวังในการรักษาตัว

 

          อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวอีกด้วยว่า โรคไข้กระต่ายยังไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน แต่จะติดต่อจากสัตว์สู่คนทั้งทางตรง ด้วยการสัมผัสสารคัดหลั่ง, การหายใจ, การกินเนื้อและถูกเห็บ หมัดในตัวสัตว์ที่เป็นโรคกัด ซึ่งเชื้อจะใช้เวลาฟักตัวในคนประมาณ 3-5 วัน จึงจะแสดงอาการ หากติดผ่านทางผิวหนังจะเกิดแผลอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต ติดที่บริเวณเท้าจะคล้ายโรคฝีมะม่วง ติดต่อทางเดินหายใจอาการเริ่มแรกเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ จนสัปดาห์ที่ 2 อันตรายที่สุด จะเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นปวดบวม และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะเสียชีวิต อาการโดยรวมจะแยกแยะลำบากจากกาฬโรค และถ้าติดจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อจะทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน แต่มักไม่เสียชีวิต

 

          น.พ.ธวัชกล่าวต่อว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นรายแรกที่มีการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง ด้วยการส่งไปตรวจในห้องแล็บที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าก่อนหน้านี้มีผู้ป่วยรายอื่นๆ ที่เป็นโรคนี้เช่นกัน แต่ไม่มีการตรวจวินิจฉัย เนื่องจากอาการโดยทั่วไปคล้ายกับโรคต่างๆ แพทย์จึงวินิจฉัยและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามอาการที่ตรวจพบจนหาย เพราะโรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะสเตร็ปโตมายซิน และยาเจนต้ามายซิน แต่ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เพราะรักษาไม่ทัน ดังนั้น เมื่อมีอาการไข้แล้วกินยาลดไข้ 1 ครั้งไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์ อย่านิ่งนอนใจ อย่ากลัวเสียเวลา หากได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเสียชีวิตจะน้อย

 

          น.พ.ธวัชกล่าวต่อว่า เชื้อชนิดนี้จะอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมอุณหภูมิทั่วไปและในอุณหภูมิติดลบมากๆ

ซึ่งมีรายงานการวิจัยระบุว่าเมื่อนำเนื้อกระต่ายที่นิยมบริโภคกันในสหรัฐอเมริกามาแช่แข็งอุณหภูมิ-15 องศาเซลเซียสไม่สามารถฆ่าเชื้อนี้ได้ เว้นแต่จะนำไปปรุงให้สุกอุณหภูมิ 100  องศาเซลเซียส นาน 10 นาที วิธีการป้องกันผู้เลี้ยงอย่าสัมผัสสัตว์ หรือหากจะแตะต้องควรใส่ถุงมือ ล้างมือทำความสะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง และผู้เลี้ยงควรกำจัดเห็บ หมัดในสัตว์เลี้ยงให้หมด ผู้ที่เลี้ยงเชิงอุตสาหกรรมควรใส่รองเท้าบู๊ต เสื้อกาวน์ ถุงมือ และหน้ากากในการป้องกัน ส่วนวัคซีนมีการนำมาใช้ป้องกันโรคเช่นกัน โดยในประเทศสหรัฐอเมริกาฉีดให้เฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น พรานป่า และคนเลี้ยงสัตว์จำนวนมากเท่านั้น สำหรับประเทศไทยไม่ได้นำเข้า เนื่องจากไม่ใช่โรคประจำถิ่น

 

          “โรคนี้ไม่ใช่โรคประจำถิ่น การควบคุมโรคจึงต้องเข้มงวดในการนำเข้าสัตว์ จึงอยากเตือนกลุ่มคนมีเงินที่อยากมีสัตว์เลี้ยงแปลกๆ นำเข้าจากต่างประเทศ อย่าแอบลักลอบนำเข้า หากต้องการเลี้ยงให้ขออนุญาตให้ถูกต้องจากกรมปศุสัตว์ เพราะตรงนี้อันตรายมากอาจทำให้เกิดโรคแปลกๆ ที่ติดต่อร้ายแรงในประเทศไทยได้”

 

 

ที่มา: ข่าวสด

ภาพประกอบ: thaihealth.or.th

                                                update 18-03-51

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ