ให้ความรู้สิทธิร่างกาย แก้ปัญหาการข่มขืน

       นักวิชาการ ม.มหิดล เผยมายาคติ “นุ่งสั้น เดินที่เปลี่ยว” ผลักภาระการข่มขืนให้ผู้หญิง และสร้างความชอบธรรมให้ผู้ชาย แนะแก้ปัญหาข่มขืนต้องยกระดับแนวคิดสิทธิร่างกายตั้งแต่ผู้นำถึงประชาชน


/data/content/26078/cms/e_bgkloprsv268.jpg


      จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในการชี้แจงนโยบายแก่ข้าราชการระดับสูง เมื่อวันที่ ๑๗ ก.ย. ถึงนักท่องเที่ยวใส่บิกินี่ถูกฆาตกรรมที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี และกรณีบริษัท ดูเร็กซ์ (ประเทศไทย) โพสต์ข้อความโฆษณาในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก Durex Fanpage ว่า “๒๘ % ของผู้หญิงที่ขัดขืนแต่สุดท้ายก็ยอม” ซึ่งทั้งสองกรณีก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมถึงการตอกย้ำการล่วงละเมิดทางเพศของผู้หญิง  ส่งผลให้เมื่อวันที่ ๔ ต.ค.มีการจัดเวทีสาธารณะเรื่อง “จากบิกินี่ถึง Durex : ความรุนแรงซ้ำซ้อนภาคสอง” โดยกลุ่มขับเคลื่อนด้านเพศวิถีศึกษาและสิทธิสตรี ๔ องค์กร ได้แก่ สมาคมเพศวิถีศึกษา มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.)  มูลนิธิอัญจารี และมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ณ โรงแรมรัตน์โกสินทร์ กรุงเทพฯ


       น.ส. สุชาดา ทวีสิทธิ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การบอกผู้หญิงไม่นุ่งสั้น แต่งโป๊ หรือเดินไปไหนคนเดียวในที่เปลี่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้นเป็นความปรารถนาดีต่อผู้หญิง แต่ใช้ไม่ได้จริง ในทางตรงกันข้ามคำสอนนี้เป็นมายาคติหรือความเชื่อผิดๆ ที่ซ้ำเติมเรื่องการข่มขืน โดยโทษผู้หญิงว่าต้นเหตุของการข่มขืนคือการแต่งกายไม่เรียบร้อยจนยั่วยุอารมณ์ ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความชอบธรรมให้ผู้ชายในการข่มขืน เมื่อเห็นผู้หญิงแต่งตัวโป๊     


      แนวทางแก้ปัญหาการข่มขืนอย่างแท้จริงควรยกระดับวิธีคิดของบุคคล ตั้งแต่ผู้นำประเทศจนถึงประชาชนในเรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายของตนเองและผู้อื่นว่าเป็นสิ่งที่ควรปกป้องและไม่อาจละเมิดหรือล่วงเกินได้


      “การบอกผู้หญิงให้แต่งกายสุภาพเรียบร้อยเพื่อป้องกันการถูกข่มขืน แปลว่าสังคมจนปัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงผู้ชายแล้วใช่หรือไม่” น.ส.สุชาดากล่าว


       น.ส.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต กล่าวว่า การนำเสนอมายาคติการข่มขืนในงานโฆษณา มักเป็นการถ่ายทอดภาพข่าวอาชญากรรมจากหนังสือพิมพ์สู่ชิ้นงานโฆษณา เช่น ภาพการรุมกระทำชำเราผู้หญิง การใช้ความรุนแรงในการมีเพศสัมพันธ์  โดยโฆษณาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นโครงสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคมระหว่างผู้ชายและผู้หญิง และแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงบางกลุ่มพร้อมถูกล่วงละเมิดทางเพศเสมอ ซึ่งในกรณีของดูเร็กซ์ชี้ให้เห็นว่า ผู้ผลิตโฆษณามีแนวคิดสนับสนุนการกระทำชำเรา และละเลยเสียงของผู้หญิงที่พยายามต่อสู้ขัดขืน


       น.ส.ชเนตตี กล่าวอีกว่า โฆษณาถือได้ว่าเป็นสื่อที่มีอิทธิพลกับผู้รับสารมากที่สุด เพราะมีเป้าหมายเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม ขณะที่สื่ออื่นๆ เช่น หนังสือพิมพ์ มุ่งให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ละครให้ความสนุกสนานบันเทิง และจากเหตุการณ์นี้สื่อควรทบทวนบทบาทและจรรยาบรรณการทำงานอย่างเร่งด่วน โดยควรปรับแนวคิดและสร้างสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและพลเมือง


      “สื่อสามารถอ้างเสรีภาพการนำเสนอข้อมูลได้ แต่ก็ต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เพราะถ้าสื่อมีการกำกับตนเองอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ก็คงไม่ต้องให้สังคมมาเรียกร้องอย่างนี้” น.ส.ชเนตตีกล่าว


 


 


      ที่มา: เว็บไซต์แพททูเฮลล์


      ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code