ใส่ใจเขาใจเรา คาถาคนทำงานปี 55
หลังหยุดยาวต่อเนื่องกันมาในช่วงปีใหม่ ก็ต้องกลับมานั่งโต๊ะทำงาน ประจำหน้าคอมพิวเตอร์ บ้างก็ต้องมาเจอหนังสือเอกสารกองโตให้สะสาง เข้าสู่โหมดของการทำงานกันอีกครา เชื่อว่าพนักงานจำนวนหนึ่งหลังจากใช้ช่วงเวลาวันหยุดไปชาร์ตแบตเตอรี่ให้ตัวเองแล้ว ก็ยังคงมีคนทำงานอีกจำนวนหนึ่งเช่นกัน ที่ยังรู้สึกอิดเอื้อนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง ไม่อยากลุกมาทำงานในทุกเช้า ซึ่งเรื่องนี้ทาง นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้แนะนำให้เหล่าพนักงาน ลูกจ้างยึดหลักของมีสติ รู้ตัวเองตลอดเวลา และเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นหลักการดำเนินชีวิตในการทำงานปี 2555
นพ.ชาญวิทย์บอกว่า ปีที่ผ่านมาคนไทยต้องเจออุปสรรคกับปัญหาอุทกภัยที่หนักหนา หลายองค์กรได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติครั้งนี้มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็ถือว่ากระทบทุกภาคส่วน ดังนั้นสถานประกอบการต้องมีการปรับวิธีคิด วิธีบริหารงานใหม่ โดยเฉพาะการเน้นเรื่องของการเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก หัวหน้าและลูกน้องต้องพยายามใส่ใจกันให้มากขึ้น หันหน้าเข้าหากันมากขึ้น และควรใช้ประสบการณ์จากเหตุอุทกภัยจัดทำเป็นคู่มือรับมือภัยพิบัติในการทำงาน แต่เชื่อว่าองค์กรใหญ่น่าจะมีการเตรียมพร้อมในส่วนนี้เพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้อีกอยู่แล้ว ที่น่าห่วงคือองค์กรขนาดเล็ก กลุ่มเอสเอ็มอีที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
“ปี 55 โลกเปลี่ยนไปเยอะแล้ว หลายคนโดนน้ำท่วม ดังนั้นการออกแบบชีวิต หัวหน้าและลูกน้องต้องพยายามใส่ใจกันมากขึ้น และพยายามเข้าหากันให้มากขึ้น ใจเขาใจเรานับเป็นธรรมะที่จะเป็นแนวคิดในการทำงานร่วมกันที่สำคัญของปี 55 ใส่ใจเขามาใส่ใจเรา หมายความว่าทุกคนมีจิตมีใจ มีความคิดเป็นของตัวเองและมีวิธีจัดการปัญหาที่แตกต่างกัน ดังนั้นในการอยู่ร่วมกับคนอื่นต้องพยายามเข้าใจคนอื่นให้มากขึ้น ปีหน้าทุกคนต้องขยัน ต้องทำงานหนัก บทบาทหัวหน้างาน คือการเปิดใจรับฟัง และให้เกียรติซึ่งกันและกันและพูดจาด้วยภาษาดอกไม้ ที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อย่าทิ้งกัน ปีที่ผ่านมา วิธีคิดเดิมๆ ถูกท้าทายหมดแล้ว ดังนั้นการก้าวเดินต่อไปคือเรียนรู้เรื่องคนที่ต้องอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข ปี 55จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาแล้ว”นพ.ชาญวิทย์กล่าว
ส่วนเรื่อง “โบนัส” การตอบแทนค่าเหนื่อยของคนทำงาน อีกหนึ่งจุดสนใจที่หลายคนเฝ้ารอ และเฝ้าถามว่าปีนี้เราจะได้โบนัสไหม บางองค์กรก็จัดหาให้ลูกน้องสมตามฐานะ แต่องค์กรไหนโดนพิษน้ำท่วมก็อาจจะลดลงกว่าปีที่แล้ว หรือถ้าแย่หน่อยก็งดไปเลย ในเรื่องนี้ นพ.ชาญวิทย์ พูดถึงการให้โบนัสแก่พนักงานไว้ว่า “ผมว่าการไม่มีโบนัสก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจ มันขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจสถานการณ์ไหม สังคมของเราให้ความสำคัญกับการให้โบนัสมากกว่าคุณค่าของตัวคน ดังนั้นทุกคนก็ไปเฝ้ารอแต่โบนัส เรื่องโบนัสก็เป็นเหมือนดาบสองคม ที่มันดีและร้ายได้ในตัวของมันเอง เพราะสถานการณ์ความจริงก็มีได้และไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารจะเป็นคนที่จะอธิบายให้ทีมงานเข้าใจว่ายามมีเราก็ให้ แต่หากเรามีปัญหาจริงๆ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปให้ แต่หากในปีนี้ หากเราต้องการการอยู่รอดร่วมกัน บางอย่างผมว่าหากเราช่วยกันเสียสละ และต้องเข้าใจตัวองค์กรหรือสถานประกอบการด้วย เพราะจริงๆ ก็คงไม่มีใครอยากให้ทุกคนมีความทุกข์ แล้วทำให้ตัวเองมีความสุข คนไทยต้องเรียนรู้เรื่องการอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกัน ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาถือเป็นตัวสอนเราได้ดีที่สุด” นพ.ชาญวิทย์บอกเล่า
สุดท้าย นพ.ชาญวิทย์ได้ทิ้งท้ายย้ำอีกครั้งว่า คนเราต้องยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ปี 2555 อยากให้ทุกคนอยู่ได้ด้วยการรับมือ และใส่ใจกับคนรอบข้างให้มาก และไม่เพียงแต่ใจคนเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงสิ่งรอบๆ ตัว เชื่อว่าปีนี้คนไทยจะใช้ความสามารถในการปรับตัวมาช่วยให้เราอยู่รอดได้
เรื่องโดย: สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th