ใช้ “วัคซีนใจ” แก้ปัญหาเด็กติดยา
ที่มา : เว็บไซต์สยามรัฐ
แฟ้มภาพ
กรมสุขภาพจิต เผยปัญหายาเสพติดในเด็กนับวันยิ่งอายุน้อยลง ทั้งยังคิดสูตรใหม่เพิ่มอันตราย แนะครอบครัวต้องใส่ใจ ใช้ “วัคซีนใจ” ป้องกัน-แก้ปัญหา
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงปัญหายาเสพติดในเด็กและเยาวชนไทยว่า น่าห่วงเนื่องจากเริ่มใช้อายุน้อยลง ตลอดจนมีแนวโน้มใช้มากกว่า 1 ชนิดร่วมกันมากขึ้น มีการนำสารต่างๆ ที่หาได้ง่ายมาผสมกันเพื่อให้ออกฤทธิ์เหมือนสารเสพติดโดยมองว่าไม่เป็นอันตราย ซึ่งในความเป็นจริงมีฤทธิ์เสพติดทั้งสิ้น รายงานบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการทางจิต ก.สาธารณสุขปี 58 พบผู้ป่วยติดยามีอาการทางจิตเข้าบำบัดใน รพ.สังกัดกรมสุขภาพจิตทั่วประเทศ 3,912 ราย มากกว่า 1 ใน 3 หรือ 1,517 ราย เป็นเด็กและเยาวชน อายุ 12-24 ปี ขณะที่ประมาณการทั่วโลกมีการใช้สารเสพติดในอายุ 15-64 ปี อยู่ที่ 3.5-5.7% ของประชากร
การที่เด็กและเยาวชนไทย รู้ถึงโทษภัยยาเสพติด แต่ไม่ทดลองเสพ ย่อมเป็นเกราะป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี สำหรับแนวทางสังเกตลูกหลานว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่นั้น สังเกตได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ใช้เงินเปลืองผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ซูบผอม ฉุนเฉียวง่าย อารมณ์แปรปรวน เอาแต่ใจ เริ่มมีนิสัยโกหก ลักขโมย ชอบเก็บตัว ขาดความรับผิดชอบ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว พบอุปกรณ์การเสพ ติดต่อกับคนแปลกหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อสังเกต สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรักความผูกพันในครอบครัว ถ้าเป็นไปด้วยดี ครอบครัวใกล้ชิด เข้าอกเข้าใจกัน ย่อมเป็น “วัคซีนใจ” สำคัญสำหรับเด็กๆ
ด้าน นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผอ.รพ.จิตเวชนครพนมราชนครินทร์ กล่าวว่า การที่เด็กลองหรือติดยาเสพติดนั้นเกิดจากหลายๆ ปัจจัยปัญหา เช่น ครอบครัว การเรียน เพื่อน เป็นต้น วิธีการคือ เน้นรับฟังปัญหาและทำความเข้าใจ ไม่ด่วนตัดสินใจหรือลงโทษว่าผิด เข้าไปคุยกับลูก ด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย ปรึกษาผู้รู้ หรือผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ