“โยคะในเรือนจำ” สร้างสุขภาพ-เพิ่มพลังบวก

เรื่องโดย : กิดานัล กังแฮ Team Content www.thaihealth.or.th


ข้อมูลประกอบจาก : กรมราชทัณฑ์ และจัดการประชุมวิชาการเชิงนโยบายเรื่อง การเดินทางของเรือนจำสุขภาวะ (Healthy Prison Journey)


วิดิโอประกอบจาก : Yoga in Prison Thailand 


“โยคะในเรือนจำ” สร้างสุขภาพ-เพิ่มพลังบวก thaihealth


คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยากสำนวนไทยที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ อาจจะใช้ได้เพียงกับบุคคลทั่วไปเท่านั้น เพราะสำหรับผู้ต้องขัง เขาเหล่านั้นไม่สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่อย่างไร


ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์เผยว่า ประเทศไทยมีเรือนจำมีอยู่ 143 แห่ง และมีผู้ต้องขังจำนวนกว่า 3 แสนคน ทั้งที่ความเป็นจริงเรือนจำสามารถรองรับผู้ต้องขังได้เพียง 1 แสนกว่าคนเท่านั้น ทำให้เกิดปัญหารุมเร้าทั้งเรื่องความแออัดยัดเยียด  บุคลากรในเรือนจำไม่พอเพียง  สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม  งบประมาณในการดูแลที่ไม่เพียงพอ และปัญหาด้านสุขภาพผู้ต้องขัง ที่เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ โดยมีวิจัยได้ทดสอบข้อมูล จากการตรวจสุขภาพผู้ต้องขังจำนวน 3,658 คน พบว่า ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคเอดส์ และวัณโรค


6 ปัญหาด้านสุขภาพที่ผู้ต้องขังต้องเผชิญ


1.การเข้าไม่ถึงบริการ หรือเข้าถึงได้ช้าในเวลาเจ็บป่วย เช่น ปัญหาด้านทันตกรรม โรคชรา ปัญหาด้านสูตินรีเวช เพราะบุคลากรในเรือนจำ เช่น พยาบาล หรือผู้คุมที่จะพาไปโรงพยาบาลมีไม่พอ


2.ความแออัดทำให้การเจ็บป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจสูงโดยเฉพาะวัณโรคสูง สถิติพบว่าผู้ต้องขังในเรือนจำมีอัตราการป่วยเป็นวัณโรคที่สูงมาก


3.โรคติดต่อทางอาหาร ท้องเสีย เพราะการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม


4.ปัญหาทันตกรรม  ซึ่งปกติโรงพยาบาลจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาดูแล เพราะบุคลากรไม่เพียงพอในระบบบริการปกติอยู่แล้ว


5.ปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า จิตตก บางคนมีอาการเหมือนคนวิกลจริตเมื่ออยู่ในเรือนจำไปนาน ๆ  การฆ่าตัวตายพบอยู่เป็นประจำ


6.ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะของผู้ต้องขังหญิง เช่น ไม่มีการคัดกรองและเฝ้าระวังมะเร็งปากมดลูก  และมะเร็งเต้านม  การต้องเลี้ยงลูกในเรือนจำ  และถูกละเมิดทางเพศโดยผู้ต้องขังด้วยกัน


ปัญหาสุขภาพในเรือนจำไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ได้ถูกละเลย เพียงแต่การแก้ปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องอาศัยหลายภาคส่วนในการเข้ามาร่วมกันดูแล รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์ นักวิชาการอิสระ และผู้ประสานงานโครงการ “เรือนจำสุขภาวะ” เกริ่นนำก่อนจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ.2551 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงมองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ และทรงดำริให้จัดตั้งโครงการกำลังใจ ขึ้น โดยมีเป้าหมาย การให้กำลังใจ ให้โอกาส ช่วยส่งเสริมและพัฒนา กลุ่มผู้ต้องขังสตรี กลุ่มเด็กติดผู้ต้องขัง กลุ่มเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดและกลุ่มผู้ขาดโอกาสอื่น ๆ ในกระบวนการยุติธรรม


ต่อเนื่องมาจนถึงในปี พ.ศ. 2555 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกรมราชทัณฑ์ ได้สานต่อพระราชดำริของโครงการกำลังใจ นำมาสู่โครงการ เรือนจำสุขภาวะ โดยเป็นเรือนจำที่มุ่งสร้างเสริมให้ผู้ต้องขังมี ‘สุขภาวะ’ (well-being) อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน นั่นคือ กฎระเบียบในเรือนจำจะต้องไม่เป็นเงื่อนไขที่ผลักหรือกีดกันผู้ต้องขังจากการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ตามที่ควรจะได้รับ ภายใต้การดูแลและบริบทของเรือนจำในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการส่งเสริมพัฒนากิจกรรมที่ช่วยเพิ่มพลังสร้างสรรค์ ความรู้และทักษะของผู้ต้องขังด้วย ซึ่งแนวคิดเรือนจำสุขภาวะมาจากการหลอมรวมความรู้ที่ได้จากการวิจัยเชิงนโยบายและการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ให้เกิดเป็นนวัตกรรมสร้างสุขภาวะ ทั้งในทางกายภาพ และวิถีการดำรงชีวิต จิตสำนึกที่ดี และยังมีเป้าหมายสำคัญในการรณรงค์ให้สังคมไทย เป็นสังคมที่พร้อมจะเป็นกำลังใจ และให้โอกาสแก่บุคคลที่แม้จะก้าวพลาดแต่ก็ได้เรียนรู้ที่จะเริ่มชีวิตใหม่เป็นคนดีของสังคม


โยคะ ในเรือนจำ สร้างสุขภาพเพิ่มพลังบวกแก่ผู้ต้องขัง


รศ.ดร.นภาภรณ์ เล่าว่า ตลอดระยะเวลา 7 ปีของการดำเนินงานโครงการ เรือนจำสุขภาวะ เกิดรูปธรรมขึ้นในหลายด้าน แต่หากจะกล่าวถึงกิจกรรมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ผู้ต้องขัง และต่อยอดไปจนถึงเมื่อเขาเหล่านั้นพ้นโทษคือ กิจกรรมโยคะ


โยคะเป็นกิจกรรมทางเลือกที่เข้ามาตอบโจทย์ในการหล่อหลอมความคิดของผู้ต้องขัง ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่าสุขภาพเป็นเรื่องของร่างกาย ความเยือกเย็นเป็นเรื่องของจิตใจ ความสงบเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ การฝึกโยคะช่วยสร้างเทคโนโลยีแห่งตัวตนให้กับผู้ต้องขัง ๆ ที่เคยเฉยชา สิ้นหวัง ยอมแพ้กับชีวิต ไม่มีแม้แต่ความปรารถนาที่อยากจะมีสุขภาพแข็งแรง ค่อยๆเปลี่ยนไปสู่การรู้จักดูแลตนเอง ทำให้ผู้ต้องขังได้ตระหนักว่าสามารถจัดการให้ร่างกายเป็นอย่างที่ต้องการได้  โดยเฉพาะการทำให้ตนเองแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ


“ โยคะฝึกให้เรามีความอดทนใจเย็น และมีพลัง มีความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อมารู้จักโยคะ โยคะให้อะไรกับเราเยอะ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ใจเย็น และร่าเริง ทำให้รู้จักคำว่า เพื่อน และสิ่งที่ลืมไม่ได้ คือ โยคะทำให้เรารู้ตัวเองว่าเรามีพลังจริงๆ”  ตัวอย่างเสียงสะท้อนจากผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกฝนในโครงการ


อันที่จริง มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาก็ตาม ความรักและความห่วงใย จะเยียวยาหัวใจให้ยืนหยัดขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มันไม่ใช่แค่เป็นกิจกรรมที่ดีต่อตัวผู้ต้องขังเองเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่จะได้ประโยชน์ก็คือสังคมในวงกว้าง หากคนในสังคมลองปรับความคิดของตนเอง และมองด้วยความเข้าใจ ให้โอกาสและให้อภัย



Shares:
QR Code :
QR Code