แม่ออย น้องอุ้ม เรื่องราวความรักของแม่และลูก
“แม่” คำที่มีเพียงหนึ่งสระ หนึ่งพยัญชนะ และหนึ่งวรรณยุกต์ แต่ช่างเป็นคำที่สื่อความหมายยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเป็นคำที่ได้ยินหรือพูดกันอยู่ทุกวัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าสำหรับแม่ที่ลูกเกิดมาไม่สมบูรณ์นั้น คำๆ นี้ที่ออกจากปากของลูกเป็นกำลังใจที่สำคัญ ที่จะทำให้แม่สู้ต่อไป
สืบเนื่องจากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานหลายภาคส่วนในรูปแบบ "แม่ฮ่องสอนโมเดล" ซึ่งเป็นระบบช่วยเหลือและส่งต่อเด็กพิการและด้อยโอกาส การต่อยอดจาก "ชุดโครงการวิจัยหลักประกันโอกาสทางการศึกษาเพื่อเด็กและเยาวชนไทยทุกคน" อันเกิดจากความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ศูนย์การศึกษาพิเศษ จ.แม่ฮ่องสอน และมหาวิทยาลัยนเรศวร ในการจัดทำระบบสารสนเทศเชื่อมต่อและส่งต่อเด็กพิการในจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างเป็นระบบ
จึงขอแบ่งปันเรื่องราวความรักของ แม่ออย อ้อยอัจฉรา ไชยชนะ กับ น้องอุ้ม กมลวรรณ ไชยชนะ คู่แม่ลูกเด็กในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดแม่ฮ่องสอนผ่านศูนย์การเรียนรู้เพื่อเด็กพิการและขาดโอกาส ที่ปัจจุบันมีอยู่ 3 พื้นที่ได้แก่ อำเภอแม่สะเรียง อำเภอปาย และอำเภอปางมะผ้า
แม่ออยได้เล่าเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับน้องอุ้มให้ฟังว่า ในตอนแรกตนเองและครอบครัวก็ไม่ทราบ ว่าน้องมีความผิดปกติทางด้านร่างกาย ช่วงที่เพิ่งคลอดใหม่ๆ น้องก็เป็นเด็กที่สมบูรณ์แข็งแรงดี
จนกระทั่งน้องอายุได้ 8 เดือน ตอนนั้นเธอเริ่มสังเกตว่าน้องอุ้มมีอาการผิดปกติ คือ มีพัฒนาการไม่เหมือนเด็กทั่วไป จึงตัดสินใจพาน้องไปตรวจร่างกาย ตอนนั้นคุณหมอยืนยันกับทางครอบครัว ว่าน้องมีความผิดปกติทางด้านร่างกาย คุณแม่และทางครอบครัวก็ต้องเปลี่ยนการเลี้ยงดูน้องใหม่หมด คือ ทุกคนในครอบครัวต้องดูแลน้องอย่างใกล้ชิด พยายามหาวิธีที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเขาตามที่จะช่วยได้
เริ่มแรกที่น้องเข้ามาที่ศูนย์การเรียนรู้เพื่อเด็กพิเศษและขาดโอกาส คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นตนและครอบครัวเพิ่งย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่ที่แม่ฮ่องสอน และได้ฝากน้องอุ้มเข้าโรงเรียนศูนย์เด็กเล็กทั่วไป คุณครูที่นั้นได้แนะนำศูนย์การศึกษาพิเศษที่นี่มา เพราะทราบว่าที่นี่เป็นศูนย์เฉพาะสำหรับเด็กพิเศษ มีสถานที่และบุคคลากรที่พร้อมต่อพัฒนาการของเด็ก แม่จึงตัดสินใจส่งน้องเข้ามาฝึกพัฒนาการที่นี่
จากวันนั้นถึงวันนี้ แม่อุ้มเล่าถึงพัฒนาที่เปลี่ยนไป พร้อมรอยยิ้มและความคลายกังวลจากคนเป็นแม่อย่างเธอว่า “เมื่อก่อนน้องไม่สามารถเดินหรือนั่งได้เหมือนเด็กปกติ ช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้ แม่ต้องดูแลน้องอย่างใกล้ชิด จนเมื่อน้องเริ่มเข้ามาฝึกที่ศูนย์ คุณแม่สังเกตเห็นได้ว่าพัฒนาการของน้องดีขึ้นมา จากที่เดินไม่ได้ก็เริ่มเดินได้ เริ่มนั่งได้นานขึ้น พูดได้ชัดขึ้น สามารถช่วงเหลือตนเองได้ดีกว่าเดิม แม้จะใช้ระยะเวลาหลายปีในการฝึกก็ตาม”
ส่วนเรื่องไปโรงเรียนนั้น ปกติเด็กทั่วไปก็อาจมีดื้องอแงบ้าง แต่น้องอุ้มกลับต่างออกไป น้องอุ้มชอบไปโรงเรียน เวลากลับมาบ้านก็จะมาเล่าให้แม่ฟังว่าวันนี้ทำอะไรที่โรงเรียนบ้าง เวลาทำอะไรใหม่ๆได้ก็จะชอบมาแสดงให้คนในครอบครัวได้ดู เช่น ร้องเพลง ร้อยลูกปัด หรืออ่านหนังสือ อีกทั้งน้องเป็นคนชอบเล่นดนตรี และมักจะเล่นดนตรีกับพี่ชายที่บ้านอยู่เป็นประจำ ที่บ้านก็มีเครื่องดนตรีหลายชนิดทั้ง คีบอร์ด กีต้าร์ อูคูเลเล่ และกลอง คุณแม่และครอบครัวก็คอยสนับสนุนลูกทั้งสองอย่างเต็มที่อยู่เสมอ
ในฐานะวันแม่นั้น แม่ออยอยากให้กำลังใจคุณแม่ท่านอื่นๆ ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษว่า “อย่าอายคนอื่นหรือวิตกกังวลจนเกินไป เพราะในทางกลับกัน มันกลับเป็นแรงผลักดันให้คนเป็นแม่เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม เพราะตนต้องเป็นที่พึ่งเดียวสำหรับลูก จะอ่อนแอให้เขาเห็นไม่ได้ แม่จะคอยปฏิบัติต่อน้องเหมือนเด็กปกติทั่วไป เวลาไปไหนก็จะพาน้องไปด้วยเสมอ เพื่อให้น้องรู้สึกอบอุ่นและไม่แปลกแยกจากคนอื่น ส่วนคนอื่นๆในครอบครัวก็คอยให้กำลังใจตนเองและน้องอุ้มอยู่เสมอ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก”
สุดท้าย แม่ออยกล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อน้องอุ้มว่า “หนึ่งความหวังของคนเป็นแม่ คือขอแค่ให้ลูกสาวตัวน้อยสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้ แม่ไม่ได้คาดหวังว่าน้องต้องเรียนเก่ง มีงานทำดีๆ หรือมีเงินมากมาย เหมือนคนอื่นๆเขา เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่น้องสามารถเดินได้ ตอนนั้นแม่ก็ภูมิใจในมากแล้ว”
เพราะความหวังที่จะพัฒนาเขาได้ยังมีอยู่มากหากรู้ตัวเร็วและทะลายกำแพงความใจเข้าใจ ความสุขที่ได้เห็นพวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้ จึงมีค่ายิ่งใหญ่มากสำหรับคนเป็นแม่ทุกคน
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
เรื่องโดย : นิภัทรา นาคสิงห์ และ ณัฐกานต์ เสริมศีลธรรม นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ