แพทย์แนะจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับการเรียนรู้เด็ก
ที่มา : ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ แนะพ่อแม่ผู้ปกครองเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็ก โดยเลือกกิจกรรมและจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม สร้างแรงจูงใจเพื่อให้เด็กปรับตัวและอยากไปโรงเรียน
นายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ผู้ปกครองควรสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการไปโรงเรียนให้แก่เด็ก เพื่อทำให้เด็กอยากไปโรงเรียนมากขึ้น เช่น อ่านหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการไปโรงเรียนให้ฟัง ฝึกให้รู้จักปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ หรือการเรียนรู้ผ่านการเล่นโดยจำลองสถานการณ์การไปโรงเรียน สร้างบรรยากาศภายในห้องเรียนให้เด็กได้มีโอกาสเตรียมตัวให้พร้อม และรู้ตัวว่าตัวเองอาจต้องเจอสถานการณ์แบบไหนเจอกับใครบ้างเมื่อไปโรงเรียนทำให้เด็กได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานทั้งนี้การพูดคุยอย่างเดียวไม่เพียงพอจำเป็นต้องใช้เทคนิคเสริมทางบวกซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้รู้สึกสนุกและมีความสุขโดยเริ่มให้เด็กปรับตัวจากที่บ้านก่อน อาทิ จัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยของรุงรัง และกำหนดเวลาสำหรับกิจวัตรประจำวันให้ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ดูโทรทัศน์ หรือเล่นเกมนานๆในส่วนนี้ผู้ปกครองต้องคอยชี้แนะ เพราะเด็กๆ มักจะไม่รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร
นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุหนึ่งที่เด็กไม่อยากไปโรงเรียนอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเพื่อนทำอะไรเก่งไม่เท่าเพื่อนๆ เพราะพ่อแม่ดูแลอย่างดีไม่เคยให้ทำอะไรด้วยตัวเอง เด็กจึงยิ่งขาดความมั่นใจ เข้ากับเพื่อนไม่ได้ จึงไม่อยากไปโรงเรียน โดยปกติแล้วอาการโยเยไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กเล็กจะเป็นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการเปิดเรียน ควรรอให้เด็กปรับตัวให้เข้าสังคมใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่สักระยะแล้วจะดีขึ้นเอง ดังนั้นพ่อแม่จึงควรฝึกให้เด็กรู้จักช่วยเหลือตัวเอง เช่น อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเอง ช่วยคุณแม่ทำอาหาร หรือช่วยหยิบข้าวของต่างๆ และอย่าลืมที่จะชมเชยทุกครั้งที่ช่วยงานหรือทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จเพื่อสร้างความรู้สึกภูมิใจและเห็นคุณค่าในตัวเองทำให้เด็กรู้สึกมั่นใจกล้าแสดงออกมากขึ้นเข้ากับเพื่อนง่ายทำให้อยากไปโรงเรียนทุกวันการที่เด็กสามารถมองเห็นความสำเร็จและสิ่งดีๆในตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เด็กมีกำลังใจในการทำสิ่งดีงามต่อไปแต่เมื่อเด็กทำผิดอาจมีการตักเตือนหรือทำโทษหลีกเลี่ยงการพูดบ่นหรือตำหนิควรใช้วิธีพูดเตือนให้รู้ตัวหรือเบนความสนใจให้เด็กได้ทำกิจกรรมอื่นแทนหากต้องลงโทษควรทำด้วยวิธีที่ไม่รุนแรงเช่นตัดเวลาดูโทรทัศน์เล่นเกมงดขนมที่ชอบทั้งนี้พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีและช่วยฝึกความมีวินัยอดทนรอคอยบริหารเวลาจัดระเบียบในการทำกิจกรรมต่างๆ เพราะเด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่เห็น สิ่งที่ทำมากกว่าสิ่งที่เราสอน