แพทย์หนักใจ!! รักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุยาก
เสนอเปิดช่องตรวจแอลกอฮอล์ในเลือด
นพ.บวร เกียรติมงคล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉินและนิติเวช รพ.มหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า ปัญหาของผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุในภาพรวมทั่วประเทศขณะนี้ พบว่าครึ่งต่อครึ่งเมาสุราด้วย การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บกลุ่มนี้มีความยุ่งยาก สร้างความหนักใจให้แพทย์มาก
เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ได้ให้อำนาจกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สั่งตรวจ เพื่อให้การรักษา แต่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ทางปกครองเป็นผู้สั่ง ทำให้แพทย์ไม่สามารถรู้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดว่ามีเท่าใด และมีผลกับอาการของผู้ป่วยที่ปรากฏหรือไม่
“โดยเฉพาะในรายที่บาดเจ็บทางสมองและเมาสุราด้วย การรู้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลักการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บประเภทนี้ โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินความรู้สึกตัว เพื่อติดตามการทำงานของสมอง ซึ่งในรายที่มีอาการเมา ระดับความรู้สึกอาจเป็นผลจากแอลกอฮอล์ เนื่องจากฤทธิ์แอลกอฮอล์จะไปกดการทำงานของสมอง ทำให้ระดับความรู้สึกตัวต่ำกว่าคนที่ไม่ดื่ม
ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง อาจทำให้ถึงขั้นโคม่าได้หากระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากถึง 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป หรือหากมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 200-300 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะทำให้เกิดอาการสับสน เอะอะ ง่วงซึม ซึ่งไม่ได้เกิดจากสมองได้รับอันตรายอย่างเดียว” นพ.บวรกล่าว
และว่าหากแพทย์รู้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้บาดเจ็บทางสมอง ก็จะเป็นผลดีต่อการดูแลรักษายิ่งขึ้น เพราะสามารถประเมินแยกระดับความรู้สึกตัวผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น และรีบดำเนินการแก้ไข
โดยเฉพาะภายใน 12 ชั่วโมงแรก หากระดับแอลกอฮอล์ลดแล้ว แต่อาการผู้ป่วยยังไม่เปลี่ยนแปลงแสดงว่ามาจากสมองได้รับอันตรายมาก ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงขอให้ฝ่ายกฎหมายเปิดช่องให้แพทย์สามารถตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในผู้ป่วยเมาสุรา เพื่อการรักษาได้
ด้าน นพ.วีรศักดิ์ เกียรติผดุงกุล รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชฯ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2551 ถึงวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา รพ.มหาราชฯ ได้รับผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่มีอาการสาหัสเข้ารักษา 200 ราย พบว่าเกือบครึ่งเมาสุรา เป็นชายมากกว่าหญิงในอัตรา 4 ต่อ 1
โดยร้อยละ 40 บาดเจ็บที่ศีรษะ สมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ไม่รู้สึกตัว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจนานกว่าผู้ป่วยทั่วไป 2-3 เท่า
ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์และไม่สวมหมวกกันน็อค หรือสวมแต่เป็นหมวกที่มีคุณภาพต่ำ ไม่พอดีกับศีรษะ หรือไม่ได้ล็อคสายรัดคาง ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 60 บาดเจ็บที่ทรวงอก ช่องท้อง แขนขาหัก ในจำนวนนี้ร้อยละ 25 เคยได้รับอุบัติเหตุกระดูกหักมาแล้ว
นพ.วีรศักดิ์ กล่าวว่า รอบ 5 วันที่ผ่านมา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ผ่าตัดสมองผู้บาดเจ็บแล้ว 21 ราย ผู้ที่บาดเจ็บที่สมอง มักจะมีปัญหาระยะยาว ทั้งเรื่องความจำ และการขยับแขนขา โดยขึ้นอยู่กับส่วนที่ได้รับอันตราย บางรายสูญเสียความทรงจำ เดินไม่ได้ เป็นภาระญาติต้องดูแล
โดยเฉพาะรายที่สมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง มีเลือดออกในสมองและเนื้อสมองฟกช้ำด้วย จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานหลายเดือน ค่ารักษาไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท
ทั้งนี้ ช่วง 7 วันอันตราย รพ.มหาราชฯจัดแพทย์เฉพาะทาง 12 สาขา และแพทย์ทั่วไปประจำห้องฉุกเฉินวันละ 24 คน สำรองคลังเลือดไว้ 1,700 ยูนิต เพื่อให้ผู้บาดเจ็บทุกรายได้รับการดูแลอย่างรวดเร็ว
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
update 05-01-52