แก๊สน้ำตา ป้องกันได้อย่างไร?
สารเคมีที่ออกฤทธิ์ ส่งผลต่อการระคายเคืองของเยื่อบุต่าง ๆ
“ซี่ซซซซซซซซซซ……..ฟึ๊บบบบบบบบบบบบบ”
เสียงปริศนาดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่ง คละคลุ้งตลบอบอวลท่ามกลางการปะทะกันอย่างดุเดือด!!!…และแล้ว!!! โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดฝัน ส่งผลให้กลุ่มคนที่อยู่ ณ บริเวณนั้นแตกตื่น พากันวิ่งหนีอย่างชุลมุน บ้างก็หาผ้ามาปิดจมูก บ้างก็เอามือปิดหน้าปิดตา เสียงหวีดร้องด้วยความตระหนกกึกก้องไปทั่วบริเวณ…เหล่านี้เป็นผลมาจากการสลายการชุมนุมด้วย “แก๊สน้ำตา”…
บ่อยครั้งที่เราได้ดูได้ฟังข่าวการสลายการชุมนุมในต่างประเทศ หรือในประเทศก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลมักสลายการชุมนุมโดยการยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน เพื่อให้ฝูงชนแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง…โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า “แก๊สน้ำตา” อาจทำให้ผู้ชุมนุมมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้!!!!
ซึ่งแก๊สน้ำตา หรือ Tear gas เป็นสารเคมีที่คุมจลาจล ซึ่งมีสารที่เกี่ยวข้องมากกว่า 12 ชนิด แต่ที่สำคัญมีอยู่ 3 ชนิดคือ
ชนิดที่1. Chloroacetophenone หรือ CN gas (CAS No. 532-27-4; UN Class 6.1; UN Number 1697; UN Guide 153; จัดเป็นยุทธภัณฑ์ชนิดหนึ่งภายใต้การควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 ได้รับการคิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่นำมาใช้ในช่วงสงครามเวียดนามโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา ในช่วง ค.ศ. 1960-1979 มีการนำมาใช้ในการปราบจลาจลและในกิจการของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านความมั่นคงและความปลอดภัย โดยการใช้งานจะอยู่ในรูปละอองลอยที่บรรจุในภาชนะอัดความดัน ต่อมานำมาใช้เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวแต่ก็ลดน้อยลงมากแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากระยะเวลาออกฤทธิ์ค่อนข้างนานและใช้ไม่ค่อยได้ผลกับคนติดยาและติดเหล้า
ชนิดที่ 2. Chlorobenzylidenemalonitrile : CS gas (CAS No. 2698-41-1; เป็นยุทธภัณฑ์ชนิดหนึ่งภายใต้การควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530) เป็นผงผลึกสีขาว เมื่อไหม้ไฟจะเกิดก๊าซไม่มีสี ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1928 แต่ยังไม่มีการใช้จนกระทั่งสงครามเวียดนามจึงมีการใช้เป็นอาวุธสงครามอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ชนิดที่ 3. Dibenzoxazepine : CR gas (CAS No. 257-07-8; เป็นยุทธภัณฑ์ชนิดหนึ่งภายใต้การควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530) กระทรวงกลาโหมของอังกฤษพัฒนาขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1960 มีลักษณะเป็นผลึกสีเหลืองซีดมีกลิ่นคล้ายพริกไท ในสหรัฐอเมริกาไม่ใช้สารตัวนี้เป็นสารควบคุมจลาจล เนื่องจากมีสมบัติก่อมะเร็ง
สารเคมีเหล่านี้อาจอยู่ในรูปของแข็ง (ผง) หรือของเหลวก็ได้ ออกฤทธิ์และส่งผลต่อการระคายเคืองของเยื่อบุต่าง ๆ ทั้งที่ตา ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร รวมทั้งผิวหนังด้วย โดยส่วนใหญ่ การใช้แก๊สน้ำตา มีจุดประสงค์เพื่อสลายการชุมนุมของฝูงชนจำนวนมาก อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเราขณะนี้
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นพ.
สิ่งทีไม่ควรทำ!!!…หากอยู่ในเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อแก๊สน้ำตา ไม่ควรใช้โลชั่น น้ำมัน หรือสารพวกสบู่ สารเหล่านี้จะดูดซึมแก๊ส หากจะใช้ครีมกันแดดให้ใช้ชนิดที่ละลายน้ำ อย่าใช้ชนิดที่เจือน้ำมัน ใส่เสื้อผ้าแขนยาวที่ปกปิดผิวหนังให้มากที่สุด สวมหมวก หากหาหน้ากากไม่ได้อาจสวมแว่นที่ใช้ว่ายน้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูก
เมื่อสัมผัสถูกแก๊สน้ำตา ควรป้องกันตัวขั้นต้นด้วยการล้างหน้าด้วยน้ำ เพื่อล้างสารเคมีออกไป สั่งน้ำมูก ไอ บ้วนน้ำลาย เพื่อไล่แก๊สที่อาจอยู่ในระบบทางเดินหายใจออกมา อย่าสูดกลืนเข้าไป ไม่ควรเกาหรือถูไถตามผิวหนัง เปลี่ยนเสื้อผ้า และถอดคอนแทคเลนส์ออก
สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน…น้ำ ควรนำน้ำมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อใช้ในการดื่ม ล้างแผล หรือล้างตา ถุงมือไวนิล ใช้ป้องกันเลือดและสเปรย์พริกไทย เหรียญและบัตรโทรศัพท์ ใช้เมื่อต้องการโทรศัพท์ฉุกเฉิน กระดาษ ปากกา เทปกาว ปากกามาร์คเกอร์ อุปกรณ์รักษาบาดแผล เช่น ที่ปิดแผล, ผ้ากอซขนาด 2×2 และ 4×4, เทปใส และ ยาฆ่าเชื้อ หรือ ยาปฏิชีวนะ อื่นๆ ผ้าอนามัยแบบสอดขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการห้ามเลือดกำเดา และที่กดลิ้น
นอกจากนี้ควรเตรียมเสื้อสะอาดบรรจุไว้ในถุงพลาสติก ใช้สำหรับเปลี่ยนในกรณีที่โดนแก๊สอย่างหนัก ที่บังแดด หรือ เสื้อกันฝน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ยารักษาโรคต่างๆ เช่น ยาบรรเทาอาการช็อกหรือบาดเจ็บ ขนมขบเคี้ยว ผงไอซิ่งเค้ก หรือ ลูกกวาดชนิดแข็ง ใช้สำหรับเพิ่มน้ำตาลในเลือด ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบ เป็นต้น
การปฏิบัติตัวที่สำคัญอันดับแรก คือ ต้องหยุดสัมผัสสารเคมีให้ได้ก่อน ด้วยการหลีกเลี่ยงและออกจากสถานที่ที่มีแก๊สน้ำตานั้น ไปสู่บริเวณที่มีอากาศถ่ายเทที่สะดวก และมีลมพัดให้สารเคมีนั้นกระจายออกไป ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารเคมีออก และใส่ไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด (2 ชั้นยิ่งดี) โดยพยายามอย่าให้เสื้อผ้าเปียก เพราะสารเคมีจะละลายติดตามร่างกายได้
การออกฤทธิ์ของแก๊สน้ำตานี้ จะออกฤทธิ์ในทันทีทันใดที่สัมผัส ตั้งแต่ 0-30 วินาที และจะคงอยู่นานประมาณ 10-30 นาทีหลังจากพ้นการสัมผัสนั้น แต่อาจมีอาการอยู่นานได้ถึง 24 ชั่วโมงขึ้นไป บางทีอาจนานถึง 3 วัน หรือเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ความเจ็บปวดก็จะหายไป แต่หากได้รับในปริมาณที่เข้มข้นมากหรืออยู่ในบริเวณที่มิดชิด ไม่มีการถ่ายเทของอากาศ อาจส่งผลทำให้อาการรุนแรง และอันตรายมากขึ้น
ที่น่าเป็นห่วงที่สุด….คงหนีไม่พ้นคนที่มีโรคประจำตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น หอบ หืด โรคผิวหนัง รวมถึง เด็ก คนชรา หญิงตั้งครรภ์ ผู้สวมใส่คอนแทคเลนส์ จะได้รับอันตรายจากแก๊สน้ำตามากกว่าคนปกติ ที่สำคัญถ้าใช้แก๊สน้ำตากับสถานที่แออัดที่มีคนอยู่จำนวนมาก ก็อาจทำให้มีคนเสียชีวิตได้
การสลายม็อบหรือการชุมนุมด้วยการยิงระเบิดแก๊สน้ำตานี้ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต…แต่หากเลือกได้ คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย ที่ทำให้ต้องเสียเลือดเนื้อ…เพราะสิ่งที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป คือ ความรักและความสามัคคี…ไม่ใช่ความรุนแรงหรือความขัดแย้ง ดังนั้น รักกันไว้ดีกว่า….
ที่มา : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th
Update : 10-10-51
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์