เอดส์ยุติได้ด้วยความร่วมมือของทุกคน
ที่มา: ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อเอชไอวีที่มีการระบาดในประเทศไทยกว่า 30 ปีนี้ให้หายขาด แต่ด้วยความพยายามและทุ่มเทของหลายภาคส่วน ทั้งการคิดค้นยานวัตกรรมที่เรียกว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีและการดำเนินมาตรการรณรงค์และป้องกันต่างๆ ทำให้สถานการณ์การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีความหวังมากยิ่งขึ้น และมีการตั้งเป้าว่า ด้วยความร่วมมืออย่างจริงจังจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่จากจำนวนกว่า 6,000 คนในปี 2560 เหลือเพียง 1,000 คนเท่านั้นในปี 2573
ล่าสุด ศูนย์ประสานความร่วมมือระหว่างไทย-ออสเตรเลีย-เนเธอร์แลนด์ เพื่อการศึกษาวิจัยทางคลินิกด้านโรคเอดส์ (HIV-NAT) ของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติว่าด้วยโรคเอดส์ "Bangkok International Symposium on HIV Medicine ครั้งที่ 20" ซึ่งมีบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้องในแวดวงโรคเอดส์ทั้งจากไทยและต่างประเทศเข้าร่วม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า งาน 'Bangkok International Symposium on HIV Medicine ครั้งที่ 20' จัดขึ้นเพื่อประสานความร่วมมือกับหลายๆ ภาคส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ในการขับเคลื่อนการยุติปัญหาโรคเอดส์อย่างยั่งยืน ซึ่งแนวทางที่จะยุติปัญหาโรคเอดส์อย่างยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก คือ 1.ตรวจเร็ว 2.รักษาเร็วด้วยยาต้านไวรัส สำหรับผู้มีเชื้อทุกราย 3.ใช้ยา PEP สำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสเชื้อเอชไอวีมาภายใน 72 ชั่วโมง หรือใช้ยา PrEP สำหรับผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีแต่มีความเสี่ยง ควบคู่การใช้ถุงยางอนามัยและใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดในกลุ่มคนติดยาเสพติด และ 4.ลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติจากสังคม
"เรารณรงค์ให้ผู้มีความเสี่ยงทุกคนกล้าที่จะมาตรวจเลือด ไม่ต้องอาย หรือกลัวถูกสังคมตีตราว่าเป็นคนไม่ดี เมื่อตรวจพบเชื้อ ต้องรีบรักษาด้วยการทานยาต้านไวรัสทันทีตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าติดเชื้อ โดยไม่ต้องรอให้มีอาการเนื่องจากภูมิต้านทานต่ำลงก่อนเหมือนอย่างในอดีต หลังได้รับการรักษา คนที่ป่วยก็จะมีอาการดีขึ้นและเมื่อกินยาเกิน 6 เดือนขึ้นไป กว่าร้อยละ 95 ของผู้ติดเชื้อจะมีปริมาณเชื้อลดลงและจะไม่สามารถแพร่เชื้อต่อให้คนอื่นได้ ถ้าทุกชุมชน ทุกประเทศทำได้แบบนี้ ก็จะสามารถยุติปัญหาโรคเอดส์ได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าภายใน 5 ปีนับจากนี้ ถ้าเราร่วมมือกันอย่างจริงจังปัญหาโรคเอดส์จะทุเลาลงมาก เราจะประหยัดงบประมาณและบุคลากรในการดูแลผู้ติดเชื้อ และผู้ได้รับประโยชน์ก็คือประชาชนนั่นเอง"
นายพิชญ์ สีแก้ว เจ้าหน้าที่โครงการ หน่วยพรีเวนชั่น ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า "บทบาทของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ฯ จะเป็นที่ปรึกษาและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่องค์กรในระดับชุมชน (Community based organization: CBO) และภาคส่วนต่างๆ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับชาติและระดับนานาชาติ ที่มีการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเอชไอวีในชุมชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ชุมชนพนักงานบริการ และชุมชนสาวประเภทสอง มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ มูลนิธิซิสเตอร์ เป็นต้น โดยศูนย์วิจัยโรคเอดส์ฯ ได้ร่วมมือกับภาคีภาครัฐในการพัฒนาศักยภาพองค์กรชุมชนเหล่านี้ และเข้าไปประเมินผลการทำงานทุกๆ 3 เดือน โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ให้ความรู้กับองค์กรชุมชนเหล่านี้จนสามารถปฏิบัติงานบางอย่างแทนบุคลากรทางการแพทย์ได้ เช่น การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวี การอ่านผลเลือด การจ่ายยาต้านไวรัสฯ แก่ผู้ติดเชื้อและผู้ที่มีความเสี่ยง จากนั้นตัวแทนชุมชนเหล่านี้ก็จะไปชักจูงเพื่อนและคนรู้จักที่มีความเสี่ยงให้เข้ามาตรวจหาเชื้อเอชไอวีและนำสู่ระบบการรักษาหากมีผลเลือดเป็นบวกหรือตรวจพบเชื้อ ซึ่งวิธีการนี้ทำให้เราสามารถเข้าถึงผู้ที่มีความเสี่ยงคนอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมมากขึ้น ด้วยความไว้วางใจว่าตัวแทนชุมชนคือเพื่อนและเป็นที่พึ่งที่สามารถปรึกษาปัญหาต่างๆ ได้"
หากทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญและร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง ด้วยความเข้าใจต่อปัญหา ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ และส่งเสริมแนวทางการป้องกันและรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ประเทศไทยจะสามารถยุติปัญหาเอดส์ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน.
รณรงค์ให้ผู้มีความเสี่ยงทุกคนกล้าที่จะมาตรวจเลือด ไม่ต้องอาย หรือกลัวถูกสังคมตีตราว่าเป็นคนไม่ดี เมื่อตรวจพบเชื้อ ต้องรีบรักษาด้วยการทานยาต้านไวรัสทันทีตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าติดเชื้อ โดยไม่ต้องรอให้มีอาการเนื่องจากภูมิต้านทานต่ำลงก่อนเหมือนอย่างในอดีต