เวทีทบทวนจังหวะก้าว ยกระดับเครือข่ายตำบลสุขภาวะสู่ชุมชนน่าอยู่
จากการที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ต้องการเห็นชุมชนท้องถิ่นมีความสุข และเห็นสังคมไทยมีความเข้มแข็ง เพราะเชื่อว่าการจะสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ขึ้นมาได้นั้น จุดเริ่มต้นที่สำคัญเป็นลำดับแรกอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่นจะต้องเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ ได้ด้วยตัวเองก่อน
ด้วยเหตุนี้ ทาง สสส. จึงเริ่มผลักดันเครือข่ายตำบลสุขภาวะขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เพื่อหวังเป็นก้าวแรกของการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตลอดเดือนมกราคม 2556 สสส. ก็ได้มีการจัดงาน “เวทีทบทวนเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนจังหวะก้าว การขับเคลื่อนเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่” ใน 9 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยมีเครือข่ายตำบลสุขภาวะกว่า 2 ,000 แห่งจากทั่วประเทศเข้าร่วมงาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมงานสำหรับเวทีใหญ่ประจำปีในวันที่ 1-3 มีนาคมนี้
โดยจะเป็นการจัดงานเวทีฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย ครั้งที่ 3 ประจำปี 2556 “พลังพลเมือง พลังชุมชนท้องถิ่น ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ “ ซึ่งจะเป็นงานรวมพลังของเครือข่ายตำบลสุขภาวะทั่วประเทศ มาร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสาธารณะ 7+1 ประเด็น เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า ชุมชนท้องถิ่นคือฐานของประเทศ และเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย
นายธวัชชัย ฟักอังกูร ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารแผน สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล่าว่า แต่ละตำบลที่มาเข้าร่วมเครือข่ายตำบลสุขภาวะ มีระยะเวลาในการทำงานไม่เท่ากัน และมีความแตกต่างในการมองเป้าหมายในการทำงาน เวทีทบทวนจังหวะก้าวนี้ จึงเป็นเวทีที่เราได้มาร่วมกระบวนการทบทวนการทำงานร่วมกัน
“นึกไม่ถึงว่ากระบวนนี้จะทำให้ชุมชนเข้มแข็งได้ บางคนถามถึงความสำเร็จของโครงการตำบลสุขภาวะ ในนิยามของการสร้างสุขให้เกิดขึ้นในตำบล ผมอยากจะบอกว่าความสำเร็จนั้นอยู่ที่คน ถ้าคนบอกว่าสุข มันก็สุข ถ้าคนบอกว่าทุกข์ มันก็ทุกข์ แต่ทุกข์ก็แก้ไขได้ด้วยคน เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามถึงความสำเร็จของโครงการนี้ว่าเกิดจากอะไร ก็เกิดจากการจัดการคนว่าเราจะมีการบริหารจัดการคนของเราเพื่อสร้างสุขให้กับชุมชนของเราได้อย่างไร เราต้องเอาคำตอบมาให้ได้ว่า เราจะจัดการคนของเราได้อย่างไร”
นายธวัชชัยเล่าต่อว่า คนในชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อความทุกข์และความสุขที่เกิดขึ้นในชุมชน เพราะปัญหาในชุมชนนั้น หากไม่ร่วมกันรับผิดชอบ ไม่ร่วมกันแก้ไข ปัญหานั้นก็จะกลับมาสู่คนในชุมชนในที่สุด และสิ่งที่ดีที่สุดของการทำงานเครือข่ายคือ เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว ไม่ว่านายกฯ อบต.จะเป็นใครก็ตาม ชาวบ้านก็สามารถขับเคลื่อนงานต่อไปได้ เพราะชาวบ้านเกิดความเข้มแข็งอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเป้าหมายของการขับเคลื่อนตำบลสุขภาวะในปีนี้ นั่นคือ การสร้างความเป็นพลเมือง
ด้านนางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน บอกว่า เราเริ่มทำงานเครือข่ายตำบลสุขภาวะเมื่อเดือนธันวาคมปี 2552 โดยเริ่มต้นทำงานที่แรกคือที่ตำบลปากพูน จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเราพบว่าการทำงานในลักษณะแม่ข่ายนี้ได้ผล ปี 2553 เราจึงขยายแม่ข่าย ตอนนี้เรามีอยู่ 54 แม่ข่าย และ 2 ศูนย์ประสานงาน ซึ่งในช่วงปี 2553-2554 เราเอาแหล่งเรียนรู้ของแม่ข่ายทั้งหมดมาจัดวาง จัดกลุ่ม ท้ายที่สุดเราพบว่า แหล่งเรียนรู้ของตำบลแม่ข่ายสามารถจัดกลุ่มได้ 7 กลุ่ม พอเราไปดูเนื้อในของแหล่งเรียนรู้ก็พบว่า สามารถนำไปเป็นนโยบายสาธารณะได้ทั้งสิ้น เป็นการยืนยันว่า จะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านทุกคนดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ในปี 2554 เราจัดกลุ่มเป็น 7 ประเด็นนโยบายสาธารณะ 84 ข้อเสนอ ซึ่งเราไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่เราจัดเวทีเพื่อสอบทานขึ้น วิธีคิดของแต่ละข้อเสนอนั้น เราสอบทานว่าวิธีคิดนี้จะนำไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ ซึ่งทุกเวทีทั่วประเทศยืนยันว่า 84 ข้อเสนอนี้ วิธีคิดถูกต้องคือ พุ่งเป้าไปสู่การสร้างความสุข พุ่งเป้าไปสู่การสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ สามารถนำไปปฏิบัติได้ ในพื้นที่ที่แตกต่างทางวัฒนธรรม ในพื้นที่ที่มีผู้นำที่แตกต่างกัน ปี 2554 จึงเป็นปีที่เราประกาศเรื่อง 7 นโยบายสาธารณะขับเคลื่อนชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ 7 นโยบายสาธารณะร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ และแม่ข่ายที่เกิดขึ้นในปี 2554 เป็นต้นมา ก็พยายามผลักดัน 7 ประเด็นนโยบายสาธารณะนี้”
นางสาวดวงพรบอกอีกว่า ภายในปี 2557 นี้ มีความมุ่งหวังว่าจะสามารถขยายตำบลเครือข่ายที่มีอยู่ประมาณ 2,000 กว่าตำบลให้ได้ถึง 3,500-3,600 ตำบล ซึ่งเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของตำบลทั่วประเทศ รวมทั้งการขยายเครือข่ายในจังหวัดน่าอยู่ นอกจากนี้ ยังพยายามที่จะสร้างการเชื่อมโยงของแหล่งเรียนรู้ให้เกิดผลกระทบทวีคูณ เช่น เด็กและเยาวชน สามารถเป็นจิตอาสาช่วยเหลือผู้ป่วยได้ หรือกลุ่มผู้สูงอายุ สามารถไปสร้างกิจกรรมด้านสุขภาพได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์