เลิกสูบยุคโควิด เปลี่ยนค่าบุหรี่เป็นเงินออม
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
เผยผลสำรวจสถานการณ์สูบบุหรี่ช่วงโควิด-19 ของกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั้งในและนอกระบบ พบแนวโน้มลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ทำรายได้ลดลง อย่างไรก็ตามปริมาณการสูบต่อวันยังสูง แนะเลิกสูบเก็บค่าบุหรี่เป็นเงินออม ไว้ใช้ในยามเดือดร้อน
ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยผลการสำรวจ "พฤติกรรมการบริโภคยาสูบของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19" ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วงเดือน เม.ย. 2564 โดยร่วมกับสวนดุสิตโพล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) ในโครงการชาวแรงงานปฏิรูปวิถีชีวิต "เลิกสูบ เลิกจน" พบแรงงานทั้งในและนอกระบบ
เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม ห้างร้าน รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ งานบ้าน เกษตร และประมง ฯลฯ จำนวน 1,120 ตัวอย่าง บริโภคบุหรี่ลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาการระบาดในปี 2563 ที่พฤติกรรมบริโภคบุหรี่ของกลุ่มแรงงานทั้งในและ นอกระบบลดลงที่ ร้อยละ 29 เท่ากับกลุ่มแรงงานบริโภคบุหรี่ลดลงจากปีก่อนถึง ร้อยละ 10 ส่วนสาเหตุที่ทำให้กลุ่มแรงงานบริโภคบุหรี่ลดลง เนื่องจากมีรายได้ลดลงมากที่สุด ร้อยละ 49.12
รองลงมาคือค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29.57 ต้องการดูแลสุขภาพ ร้อยละ 16.29 กังวลว่าการสูบบุหรี่ทำให้ติดเชื้อโควิด-19 ร้อยละ 3.51 หาซื้อบุหรี่ได้ยากขึ้น ร้อยละ 1.25 และอื่นๆ ร้อยละ 0.25 ส่วนสถานที่ ซื้อบุหรี่ของกลุ่มผู้ใช้แรงงานคือ ร้านค้า ทั่วไป ร้อยละ 50.20 ร้านสะดวกซื้อ 44.86 สั่งออนไลน์ ร้อยละ 4.66 นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าปริมาณมวนบุหรี่ที่กลุ่ม ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่บริโภคในช่วงโควิด ระบาดระลอก 3 ส่วนใหญ่อยู่ที่วันละ 6-10 มวน รองลงมาคือ 11-15 มวน ส่วนน้อยที่สูบ 1-5 มวนต่อวัน
ศ.นพ.รณชัย กล่าวว่า ที่น่าสนใจคือแม้พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของกลุ่มแรงงานทั้งในระบบ และนอกระบบลดลง เมื่อเทียบกับช่วงโควิดระบาดในปี 2563 แต่ปริมาณการสูบบุหรี่ต่อวันส่วนมากยังอยู่ที่ 6-10 มวน ซึ่งถือว่าสูง เพราะแค่สูบ 1-4 มวนต่อวัน ก็ตายเร็วกว่า ผู้ไม่สูบถึง 1.5 เท่า ซึ่งหมายความว่ารัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านรณรงค์เลิกบุหรี่ ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการรณรงค์ แคมเปญเลิกสูบเลิกจน และฉวยโอกาสตอกย้ำให้กลุ่มแรงงานทั้งหมดเห็นและ ตระหนักว่ายามเกิดวิกฤติ บุหรี่ไม่ใช่ สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
ดังนั้นช่วงที่ไม่เกิดวิกฤตก็ยิ่งไม่จำเป็นที่จะต้องสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบอื่นๆ เพราะเงินที่ซื้อบุหรี่คือรายได้ที่จะเหลือออมไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นเงินสำรองในอนาคตหากถูกเลิกจ้าง ซึ่งการงดสูบบุหรี่วันละ 6-10 มวน ช่วยประหยัดเงินได้ถึงวันละ 30-55 บาท แล้วแต่ยี่ห้อ และยังส่งผลดีต่อสุขภาพของ ผู้ใช้แรงงานอีกด้วย เพราะการสูบบุหรี่ในช่วงโควิดระบาดทำให้เกิด ความเสี่ยงทั้งติดและแพร่กระจายเชื้อโรคมากขึ้น
"นอกจากนี้ยังควรผลักดันให้กลุ่มแรงงานที่อยากเลิกบุหรี่ เข้าถึงบริการช่วยเลิกบุหรี่ เช่น สายเลิกบุหรี่ 1600 ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแคมเปญวันงดสูบบุหรี่โลกประจำปี 2564 Commit to Quit ขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ที่ต้องการให้คนที่อยากเลิกบุหรี่ มีความ มุ่งมั่นทำให้สำเร็จ โดยสามารถเข้าถึงบริการช่วยเลิกบุหรี่ที่มีอยู่ในทุกช่องทางให้มากขึ้น" ผอ.ศจย. ระบุ
ศ.นพ.รณชัย กล่าวต่ออีกว่า กรณีที่ผู้ใช้แรงงานบริโภคยาสูบในปริมาณที่มากขึ้นต่อวัน โดยมีสาเหตุมาจากความเครียด ทั้งในเรื่องของความเครียดจากการทำงาน ความเครียดกับสถานการณ์โควิด-19 รวมไปถึงความเครียดจากการถูกเลิกจ้างหรือลดเงินเดือนนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยงานด้าน สาธารณสุข ควรจัดกิจกรรมให้ความรู้ หรือจัดทำสื่อแนะนำการดูแลสุขภาพจิตของคนไทย ในการดำรงชีวิตอย่างมี ความสุขภายใต้ สถานการณ์ความตึงเครียดอีกทางหนึ่งด้วย