เลิกสูบบุหรี่ ลดโรคถุงลมโป่งพอง
ในประเทศไทย "โรคถุงลมโป่งพอง" มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกับทั่วโลก และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ของประชากรไทย
แฟ้มภาพ
ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล ประธานมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพองมากกว่าร้อยละ 90 เกิดจากการสูบบุหรี่ที่ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน รวมถึงการสูดเอามลพิษเข้าไปในปอด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการป่วยอย่างช้าๆ และใช้เวลาหลายปี จึงทำให้ผู้ป่วยไม่เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น จนต่อมาผู้ป่วยจึงเริ่มมีการอักเสบในหลอดลมและเนื้อปอด มีความยืดหยุ่นของปอดลดลง หลอดลมบวม ต่อมสร้างเมือกในหลอดลมโตขึ้นจนสร้างเสมหะเพิ่มขึ้น และกล้ามเนื้อหลอดลมหดตัว อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจแบบเรื้อรัง จนกระทั่งลมที่ผู้ป่วยเป่าออกมามีความเร็วที่ลดลงมากกว่าคนปกติ ที่ส่งผลให้มีลมค้างอยู่ในปอด ผู้ป่วยจึงมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก เริ่มเหนื่อยมากขึ้นเมื่อต้องออกแรง และอาจมีอาการหอบรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีสมรรถภาพปอดลดลงมากกว่าคนปกติ เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นบางอย่างจะทำให้อาการกำเริบ เช่น มีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยแย่ลงแล้ว ยังทำให้โรคลุกลามได้เร็วขึ้นด้วย แต่ปัจจุบันวิวัฒนาการแพทย์ที่พัฒนามากขึ้น ทำให้มีวิธีการการรักษาที่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยให้ความร่วมมือตามข้อแนะนำ ได้แก่ หยุดสูบบุหรี่เด็ดขาด ไปพบแพทย์และเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสมรรถภาพปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน