เร่งพัฒนารพ.รัฐ-เอกชน-คลินิก-สปาทั่วไทยสู่อาเซียน
กระทรวงสาธารณสุขจัดประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ โรงเรียนสอนนวดและสปาไทย และผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพจากทั่วประเทศกว่า 1,200 คน ในการเตรียมความพร้อมพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ได้มาตรฐาน รองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทย จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปลายปี 2558 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมให้โรงพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐ เอกชน รวมทั้งธุรกิจสปา-นวดส่งเสริมสุขภาพ คลินิกเสริมความงาน และคลินิกทันตกรรมที่มีศักยภาพ ให้เร่งพัฒนาระบบบริการให้ได้มาตรฐาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ทุกแห่งจะต้องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่จำเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านความปลอดภัยความสะอาดอาคารสถานที่ ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด 2.ด้านเครื่องมือบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขต้องมีประสิทธิภาพ และมีการสอบเทียบความเที่ยงตรงของเครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐานสากล มีความพร้อมให้บริการทั้งในภาวะปกติและฉุกเฉิน และ3.ต้องมีระบบการให้ความรู้ด้านสุขภาพประชาชน เพื่อให้เกิดพฤติกรรมสุขภาพนำไปสู่การมีสุขภาพดีไม่เจ็บป่วย และความรู้วิธีการปฏิบัติตัวในการป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาหลังเจ็บป่วย
ในปี 2555 มีโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กล่าวมา 64 แห่ง ประกอบด้วยโรงพยาบาลศูนย์ 22 แห่ง โรงพยาบาลทั่วไป 41 แห่ง และโรงพยาบาลชุมชน 1 แห่ง ซึ่งในปี 2556 นี้มีเป้าหมายจะเร่งพัฒนาให้ได้มาตรฐานเพิ่มอีก 225 แห่ง และจะเพิ่มให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ทั้งรัฐ เอกชนภายในปี 2558
นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจประเภทสปาของไทย ขณะนี้นับว่าได้รับความนิยมสูงเป็นอับ 1 ของอาเซียน เป็นธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและอาหารเสริม มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น สปานวดแผนไทย การดูแลผู้สูงอายุแบบต่อเนื่องหรือลองสเตย์ (long stay) และยังมีธุรกิจเสริมความงามที่มีชื่อเสียงระดับโลกเช่น การผ่าตัดแปลงเพศ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อ เป็นต้น จะต้องได้มาตรฐานทั้งด้านคุณภาพ ด้านความปลอดภัย และการมีจิตใจบริการ ซึ่งเป็นจุดเด่นของไทยสามารถสร้างความประทับใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาใช้บริการซ้ำอีก คาดว่าเมื่อไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้วจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งหมดต่อชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมรับการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิชาชีพด้านการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพในไทยเช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เป็นต้น ให้สามารถใช้สถานบริการสุขภาพเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ
ที่มา : สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข