เรื่องภาษี…กับการปกป้องสุขภาพประชาชน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


เรื่องภาษี...กับการปกป้องสุขภาพประชาชน thaihealth


มาตรการทางภาษี ถูกชี้ว่าเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดมาตรการหนึ่ง ในการลดการบริโภค "สินค้าทำลายสุขภาพ" ด้วยกลไกพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่เมื่อราคาแพงขึ้น คนบริโภคย่อมลดลง ซึ่งไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยเท่านั้น รัฐยังได้เงินภาษีมาใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะเพิ่มขึ้น และหากรัฐบาลนำเม็ดเงินภาษีบาปนี้ไปใช้ตรงเพื่อสุขภาพ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์สามต่อ หรือ win-win-win เลยทีเดียว


แนวคิดนี้ถูกตอกย้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมามีรายงานระดับโลก ชิ้นใหม่เรื่อง "Health Taxes to Save Lives : Employing Effective Excise Taxes on Tobacco, Alcohol, and Sugary Beverages" หรือ "ภาษีสุขภาพเพื่อปกป้องชีวิต : การใช้ภาษีสรรพสามิตบุหรี่ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มผสมน้ำตาลอย่างมีประสิทธิภาพ" จัดทำโดยคณะทำงาน พิเศษว่าด้วยนโยบายการคลังเพื่อสุขภาพ มูลนิธิบลูมเบิร์ก ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน


รายงาน 25 หน้า ระบุถึงผลการวิเคราะห์วิจัยการขึ้นภาษีสินค้าทำลายสุขภาพทั้ง  3 ประเภท คือ บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ เครื่องดื่มผสมน้ำตาล ที่พิสูจน์ว่าภาษีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และเครื่องดื่มผสมน้ำตาลลดลง เป็นที่น่าสนใจว่า ประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางภาษีที่เพิ่มขึ้นทุก 10% ทำให้ความต้องการสูบบุหรี่ ลดลง 5% ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงถึง 6% และลดการบริโภคน้ำอัดลมถึง 12% ผลกระทบเกิดขึ้นเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคม


รายงานฉบับนี้ ยกตัวอย่างหลายประเทศ ที่ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อลดอัตราการ เจ็บป่วยและเสียชีวิตลงจนเป็นที่น่าพอใจ และสามารถนำงบประมาณจากรายได้ภาษีใช้สนับสนุนการพัฒนาสังคมและสร้างเสริมสุขภาพได้ เช่น ประเทศโคลอมเบีย มีการขึ้นภาษียาสูบ (โดยขึ้นภาษีเฉพาะ ตามปริมาณยาสูบถึง 200% และยังกำหนด ให้จัดเก็บเพิ่มขึ้นอีก 4% ต่อปีตามภาวะเงินเฟ้อ)


ผลคือการสูบบุหรี่ลดลง 23% ในปี 2560 ขณะที่รายได้จากภาษีบุหรี่ก็เพิ่มขึ้นถึง 54% โดยปีเดียวกันยังมีการปรับมาตรการภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในอัตรา 25% รวมภาษี ตามมูลค่าของสินค้าและภาษีเฉพาะที่จัดเก็บตามดีกรีแอลกอฮอล์ ทำให้รายได้จัดเก็บ ภาษีเพิ่มขึ้นจาก 195 ล้านดอลลาร์ เป็น 301 ล้านดอลลาร์ หรือ 17% ในปี 2560


กลับมาที่บ้านเรา เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีการขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้า ทั้ง 3 ประเภท ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกฎหมายใช้ ภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราส่วนหนึ่งเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ สื่อสาธารณะ การกีฬาและสวัสดิการผู้สูงอายุด้วย


รูปธรรมของผลจากการผนึกกำลังของทุกภาคส่วน ส่งผลให้อัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยลดลงต่อเนื่อง ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ว่าปี 2560 มีประชากรสูบบุหรี่ทั้งสิ้น 10.7 ล้านคน คิดเป็น  19.1% ลดลงจากปี 2534 ที่มีจำนวน 12.2 ล้านคน หรือ 32% ขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอีกหนึ่งโจทย์ท้าทาย แต่จากการสำรวจสุขภาพประชากรไทย โดยการตรวจร่างกายชี้ว่าร้อยละของการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายของชายไทยลดลงจาก 16.6% ใน ปี 2546 เหลือเพียง 6.1% ในปี 2556


ด้านมาตรการจัดการกับเครื่องดื่มผสมน้ำตาล สสส.ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2546 เช่น การรณรงค์เด็กไทยไม่กินหวาน และโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมทั่วประเทศ


ส่วนการขับเคลื่อนมาตรการภาษี เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล (Tax for SSB) เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 โดย สสส. และภาคีวิชาการ ได้รวบรวมข้อมูลงานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคียุทธศาสตร์ ส่งผลให้ พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ.2560 ระบุให้มีการเก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณน้ำตาล


เป้าต่อไปคือ "เกลือและโซเดียม" ที่ภาคสุขภาพกำลังช่วยกันเดินหน้ารวบรวมงานวิจัย เพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิด นโยบายด้านภาษีโซเดียม พร้อมทั้งได้รณรงค์ ให้คนไทยบริโภคเค็มแต่พอดีควบคู่กันไปด้วย


เมื่อรายงานโลกชิ้นนี้ได้ถูกนำไปร่วมจัดประชุมคู่ขนานในสมัชชาองค์การอนามัยโลกเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ประเทศไทย จึงเป็นหนึ่งใน 11 ประเทศที่ได้รับเชิญเข้าร่วมนำเสนองาน โดยมุ่งหวังจะขยายมาตรการนี้ให้ได้ใช้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นในโลก

Shares:
QR Code :
QR Code