เมื่อตำรวจ!!! งดเหล้า เข้าพรรษา…
สุรานั้นแปลว่า “เหล้า” กินแล้วเมา ก็เดินโซเซ ประโยคเหล่านี้หลายคนคงเคยได้ยินจากเพื่อน พี่น้องหรือคนคุ้นเคยที่ใช้ร้องรำกันภายในวงเหล้า ที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมของพวกขี้เหล้า หลายคนอาจไม่สนใจเพราะชิน อีกทั้งยังพูดกันเฉพาะในวงเหล้า ไม่เกี่ยวกับใครสักหน่อย แต่อยากให้ลองหยุดคิดสักนิดก่อนว่าสุราหรือเหล้าไม่ใช่หรือ??? ที่เป็นต้นเหตุสำคัญให้เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวแตกแยก อุบัติเหตุตาย-เจ็บ และคดีอาชญากรรม การทะเลาะวิวาท รวมถึงความรุนแรงต่อผู้หญิงล้วนเป็นผลจากสุราหรือเหล้าเกือบทั้งสิ้น แต่!!! ที่ดูแย่ไปกว่านั้น หากมันขึ้นกับครอบครัวผู้ดูแลกฎหมายอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ด้วยเหตุนี้ ทางมูลนิธิเพื่อนหญิงจึงคิดริเริ่มที่จะทำโครงการสถานีตำรวจ ลด ละ เลิก เหล้า เพื่อหวังให้สังคมไทยเป็นสังคมที่สงบ น่าอยู่ และปราศจากความรุนแรงอย่างถาวร จึงได้ร่วมมือกับ สน.สำเหร่ นำร่องโครงการดังกล่าวขึ้น
ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี 2550 คนไทยประมาณ 10.3 ล้านคน นิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ และมีปริมาณถึง 3.3 ล้านคน ที่ดื่มทุกวันหรือเกือบทุกวัน เฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนมีอัตราการดื่มเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึงจำนวน 70%
นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ยังนำไปสู่การเจ็บป่วยด้วยโรคชนิดต่างๆ มากกว่า 60 ชนิด โดยในปี 2549 พบผู้ป่วยจากการดื่มแอลกอฮอล์ถึง 3 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นผู้ชายประมาณ 2.6 ล้านคน ที่น่าเป็นห่วงคือการดื่มแอลกอฮอล์ยังก่อให้เกิดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก โดยสถิติการให้บริการของศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ประจำจังหวัด 297 แห่ง ในปี 2550 พบว่ามีเด็ก สตรี และคนชรา ที่ถูกกระทำทารุณเข้ารับบริการจำนวน 19,068 ราย และในระหว่าง ปี 2547–2551 พบหญิงสาวแจ้งความดำเนินคดีทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลของมูลนิธิเพื่อนหญิงระบุว่าร้อยละ 70-80 ของผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์ มักใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กด้วยการทุบตี ทำร้ายร่างกายและด่าว่าทำร้ายจิตใจ
โดยนายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง ให้ข้อมูลว่าที่ผ่านมามูลนิธิฯ ที่ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง เฉลี่ยถึงปีละ 1,500 ราย โดยร้อยละ 80 เป็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ที่เหลืออีกร้อยละ 20 เป็นคดีข่มขืนและภัยทางเพศ และตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิดความรุนแรงอันดับต้นๆ คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองลงมาเป็นยาเสพติด และการพนัน และที่น่าตกใจนั่นคือ นอกจากประชาชนทั่วไปแล้ว ปัจจุบันพบว่าผู้ที่แจ้งเรื่องร้องเรียนจำนวนหนึ่งนั้นกลับเป็นภรรยาของเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายอย่าง ตำรวจ เอง ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวคิดที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าร่วมโครงการเพื่อเป็นอีกช่องทางที่จะลดปัญหาในสังคมได้
ในส่วนของวิธีการนั้น เราก็จะจัดให้มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ ให้คำปรึกษา พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลตัวอย่างในการเลิกเหล้าของชุมชนใกล้เคียง เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการมีความต้องการที่จะเลิกเหล้า ที่สำคัญจะมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปประเมินผลเพื่อดำเนินโครงการต่อไป
ด้านหัวหน้าใหญ่อย่าง พ.ต.อ.ถิร์สทัต บูรณะรัช ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ กล่าวว่า ต้นเหตุของปัญหาส่วนใหญ่ในสังคมรวมถึงคดีความต่างๆ โดยเฉพาะการทะเลาะวิวาทหรือกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงมักมีสาเหตุมาจาก “เหล้า” ทั้งสิ้นแต่หลังจากที่คนในชุมชนเข้าร่วมโครงการลด ละ เลิก เหล้า พบว่าการสูญเสียและคดีความต่างๆ ในชุมชนลดลงมาก ซึ่งหากโครงการนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่อยู่ในเครื่องแบบอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีจะยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน
“โครงการดีๆ แบบนี้จึงจำเป็นต้องเร่งลงมือทำ สน.สำเหร่จึงรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง สน.กว่า 100 นายเข้าร่วม แต่วิธีการนั้นจะขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเจ้าหน้าที่แต่ละคนว่าตั้งใจจะ ลด ละ เลิกเหล้ากี่วัน โดยเชื่อว่า หากจะให้เจ้าหน้าที่เลิกไปเลยทันทีทันใดคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากมีการลดปริมาณลงได้ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเลิกอย่างถาวรในอนาคตได้” ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ กล่าว
ด้านนางเกษร ศรีอุทิศ เลขานุการ ชุมชนหลังไปรษณีย์สำเหร่ กล่าวว่า การที่เราหันมาเริ่มต้นกับตำรวจนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้กับคนในชุมชนได้อุ่นใจมากยิ่งขึ้น และภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสายตาประชาชนก็จะดีตามไปด้วย
หากตัวคุณเองตั้งใจที่จะ “เลิกเหล้า” เหมือนกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ จะลด จะละ หรือจะเลิก เลือกทำก่อนทีละอย่างได้แล้ว… อย่าปล่อยให้ “เหล้า” ทำลายชีวิตคุณและคนรอบข้างให้สั้นลง!! อีกต่อไปเลย
เพราะหากคุณไม่รู้จักคำว่า “เริ่ม” คงเลิกไม่ได้…
เรื่องโดย: ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th
Update:10-07-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฐภัทร ตุ้มภู่
