เมืองมหัศจรรย์ผักผลไม้รณรงค์กินพืช 5 สีต้านโรค
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
พืชผักและผลไม้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก แต่หลายคน โดยเฉพาะเด็กๆ ยังติดนิสัยที่ไม่ชอบรับประทานอาหารประเภทนี้ โดยหารู้ไม่ว่าอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ดังนั้นแนวทางที่จะลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหันมากินพืชผักและผลไม้ให้มากขึ้น หรือทำตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ควรบริโภคอย่างน้อยวันละ 400 กรัม
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่รับผิดชอบสร้างเสริมด้านสุขภาวะ จึงได้เข้าร่วมจัดนิทรรศการ "Fruits & Veggie Wonderland เมืองมหัศจรรย์ผักผลไม้" ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2560 ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคพืชผักผลไม้อย่างเพียงพอ นำไปสู่การปรับพฤติกรรมให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยได้รับความสนใจจากเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปเข้าชมจำนวนมาก
นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อเด็กและเยาวชน
สำหรับในปีนี้ สสส.ได้มีการรณรงค์ทำงานเกี่ยวกับการส่งเสริมให้บริโภคพืชผัก-ผลไม้ และการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เนื่องจากในปัจจุบันคนไทยกินพืชผักและผลไม้น้อยลงกว่าในอดีต เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ นิยมทานอาหารจานด่วน ซึ่งมีแป้ง เนื้อสัตว์ และไขมัน เป็นวัตถุดิบหลัก จึงขาดความสมดุลของสารอาหาร ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ และโรคติดต่อไม่เรื้อรังตามมา เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และมะเร็ง
สำหรับนิทรรศการ "Fruits & Veggie Wonderland เมืองมหัศจรรย์ผักผลไม้" ที่จัดแสดงขึ้นจะเป็นการกระตุ้นและสนับสนุนให้เด็กๆ เยาวชนทานพืชผัก-ผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม หรือเทียบเท่ากับปริมาณ 4-6 ทัพพี และควรเลือกทานพืชผัก-ผลไม้ให้หลากหลาย ซึ่งในผักแต่ละชนิดก็จะมีประโยชน์ทางโภชนาการหลากหลาย อาทิ วิตามิน A จะช่วยบำรุงสายตา ทำให้เซลล์ผิวเจริญและพัฒนาเป็นปกติมีบทบาทในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ได้แก่ แครอต มะเขือเทศ ฟักทอง ผักชี ผักบุ้ง ข่า วิตามิน B1 ช่วยบำรุงประสาทและการทำงานของหัวใจ ช่วยในการเจริญเติบโต ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา ได้แก่ กระเทียม ถั่วลันตา มะเขือพวง บัวบก วิตามิน C ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส กระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ พริกหวานสีเหลือง มะเขือเทศ มะนาว กระหล่ำดอก คะน้า กวางตุ้ง ฝรั่ง ส้ม แคลเซียม สร้างและควบคุมกระดูกและฟัน ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ช่วยในขบวนการทำให้เลือดแข็งตัวตามปกติ ได้แก่ คะน้า กวางตุ้ง หอมใหญ่ มะเขือพวง กะเพรา ธาตุเหล็ก ถ้าร่างกายขาดธาตุเหล็กจะทำให้ไม่มีแรง อ่อนเพลีย ขี้เกียจ สมองเฉื่อย ป้องกันโลหิตจาง ได้แก่ บร็อกโคลี กวางตุ้ง ผักบุ้งจีน แตงกวา ผักโขม เบตาแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งบำรุงสายตา ผิวพรรณ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย ได้แก่ แครอต มะเขือเทศ ฟักทอง คะน้า ผักโขม ผักบุ้ง มะละกอสุก มะม่วงสุก ส้ม
โฟเลต ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง เซลล์สมองลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ได้แก่ ถั่วลันตา มะเขือเทศ บร็อกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ดอกกะหล่ำ ใยอาหาร เป็นส่วนประกอบของพืชผัก-ผลไม้ ช่วยป้องกันโรคท้องผูก อ้วน ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน ความดันโลหิตสูง ได้แก่ ถั่วฝักยาว แครอต คะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง และผัก-ผลไม้แทบทุกชนิด
นอกจากในนิทรรศการยังรณรงค์ให้ใน 1 วัน ควรกินผักให้ครบ 5 สี โดย 1. สีเขียว ให้สารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ขจัดฮอร์โมน เป็นสาเหตุของมะเร็งบางชนิด เช่น ผักบุ้ง ผักโขม ผักปวยเล้งผักกาดหอม ผักคะน้า แตงกวา 2. สีเหลือง ให้สารเบตาแคโรทีน และฟลาโวนอยส์ ช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจ หลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงสายตา เช่น แครอต ฟักทอง มันเทศ
3.สีม่วง ให้สารแอนโทไซยานิน ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหาร ซึ่งทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ เช่น กะหล่ำสีม่วง มะเขือม่วง ดอกอัญชัน
4. สีขาว/น้ำตาล ให้สารอัลลิซิน สร้างเซลล์ให้แข็งแรง ยับยั้งการเกิดเนื้องอก ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต้านการอักเสบ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน รักษาระบบภูมิคุ้มกัน เช่น กระเทียม หัวไช้เท้า ถั่วเหลือง และ 5.สีแดง มีสารไลโคปีนอยู่ในปริมาณสูง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี 100 เท่า และมากกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่า สารไลโคพีนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งปอด และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเยื่อบุมดลูก เช่น มะเขือเทศ หอมแดง พริกหวาน เป็นต้น
สำหรับนิทรรศการดังกล่าวจะถูกนำไปแสดงหมุนเวียนตามศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมที่น่าสนใจของศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.เพิ่มเติมได้ที่ www.thaihealthcenter.org
เชื่อว่าความรู้เหล่านี้จะรณรงค์ให้เด็ก เยาวชน และคนไทย หันมาสนใจรับประทานพืชผัก-ผลไม้กันมากขึ้น ที่เปรียบเสมือนเป็นยาช่วยต้านและรักษาโรคร้าย
มื้อนี้ไม่ลืมผัก
น้องน้ำ-ปิยะพร ปรังสุวรรณกุล อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนทุ่งเหียงพิทยาคม บอกว่า หลังจากได้เยี่ยมชมนิทรรศการของ สสส. ทำให้ได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้น ว่าการกินผักจะมีประโยชน์มาก เพราะตัวเองปกติกินบ้างไม่กินบ้าง ต่อไปก็จะกินผักให้มากขึ้น เพราะมันดีต่อสุขภาพและระบบขับถ่าย
น้องพลอย-อภัสนันท์ แซ่เตียว อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนทุ่งเหียงพิทยาคม บอกว่า รู้สึกประทับใจกับนิทรรศการนี้มาก ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับผัก-ผลไม้ว่ามีประโยชน์อย่างไร ควรเลือกทานผักอะไรที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งผักที่ชอบทานก็คือตำลึง มีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งด้วย นอกจากนี้ การทานผัก-ผลไม้จะทำให้ผิวพรรณดีและช่วยลดความอ้วนด้วย
น้องเบค-จารุพัฒน์ วงษ์พัฒน์ อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนเมืองพัทยา บอกว่า รู้สึกสนุกสนาน เป็นนิทรรศการที่ให้ความรู้มากว่าทานผัก-ผลไม้ให้ประโยชน์อะไร สีผัก-ผลไม้แต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกัน รวมถึงวิธีการล้างผัก-ผลไม้อย่างไรให้สะอาด ซึ่งตัวเองก็ชอบทานผัก-ผลไม้อยู่แล้วด้วย เพราะอร่อย ทำให้ผิวสดใส กินแล้วสวย และทำให้สุขภาพแข็งแรงด้วย กลับไปก็จะไปทานผักให้มากขึ้น และบอกต่อให้คนอื่นๆ หันมาทานผักให้มากขึ้น
น้องอาร์ม-ณฐการณ์ ใสสม อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียน บอกว่า วันนี้ได้ประโยชน์มากๆ และมีความสนุกสนานมาก ทำให้รู้ว่าผักมีกี่สี และในแต่ะวันควรกินผักให้ครบ 400 กรัม หรือประมาณ 5 ทัพพี ก็จะกลับไปทานผักให้มากขึ้น เพราะผัก-ผลไม้ดีต่อสุขภาพมากๆ