เฝ้าระวังสุขภาพ 3 กลุ่มเสี่ยงเกาะเสม็ด
กระทรวงสาธารณสุข จัดทำแนวทางการดูแลสุขภาพประชาชนผู้สัมผัสน้ำมันรั่วไหล เกาะเสม็ด แบ่งการดูแลสุขภาพ 3 กลุ่ม เฝ้าระวังต่อเนื่อง แนะก่อนนำสัตว์ทะเลมารับประทาน ควรล้างให้สะอาดและปรุงสุกก่อนรับประทานทุกครั้ง อย่านำสัตว์ทะเลที่ตายบริเวณที่เกิดเหตุมาบริโภคเด็ดขาด
นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง คัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั้งผู้ที่ทำการเก็บกู้คราบน้ำมันและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อหาสารอนุพันธ์ของเบนซีนหรือ t-t muconic acid ขณะนี้เก็บตัวอย่างตรวจแล้ว 1,594 คน ข้อมูลผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ณ วันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา ยังไม่มีตัวอย่างใดที่มีปริมาณ t-t muconic acid เกินค่าเฝ้าระวังความปลอดภัย
ส่วนข้อมูลจากหน่วยปฐมพยาบาลเพื่อให้บริการสุขภาพทั้งบนเกาะเสม็ดและบนฝั่ง พบว่ามีผู้ป่วยจนถึงปัจจุบัน จำนวน 552 คน มีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ และผื่นคัน 215 คน อาการอื่น เช่น มีดบาด ปวดเมื่อย เมาเรือ และอื่นๆ 337 คน กรมควบคุมโรค ได้จัดทำแนวทางการดูแลสุขภาพประชาชนผู้สัมผัสน้ำมันรั่วไหล กรณีเกาะเสม็ด พร้อมเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่รับสัมผัสสูง ได้แก่ กลุ่มที่ทำงานในการกู้คราบน้ำมันที่มีการรับสัมผัสทั้งการหายใจและผิวหนัง มีชั่วโมงการทำงาน ตั้งแต่ 6 ชั่วโมงขึ้นไปในแต่ละวัน มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง กลุ่มที่รับสัมผัสปานกลาง ได้แก่ กลุ่มที่ทำงานอยู่ในพื้นที่เป็นประจำ ได้รับการสัมผัสทางการหายใจอย่างเดียว เช่น ทีมพนักงานจาก ปตท. นักข่าว พนักงานรีสอร์ท หน่วยราชการ
และกลุ่มที่รับสัมผัสน้อย ได้แก่ กลุ่มที่ไปตรวจสอบพื้นที่ ติดตามการดำเนินงาน และไม่ได้อยู่ประจำ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะของทั้ง 3 กลุ่ม เพื่อตรวจหาสารอนุพันธ์ของเบนซีน หากพบผู้ที่มีผลการตรวจพบค่าสูงกว่าค่าเฝ้าระวังความปลอดภัยจะทำการตรวจซ้ำทุก 3 เดือน จนกว่าค่าจะเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสุขภาพอื่นๆ แก่กลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่องตามที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าอาหารทะเลมีความปลอดภัย สามารถรับประทานได้ตามปกติแต่ควรล้างให้สะอาดและปรุงสุกก่อนรับประทานทุกครั้ง อย่านำสัตว์ทะเลที่ตายบริเวณที่เกิดเหตุมาบริโภคเด็ดขาด หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน 1422
ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์