เผย"โรคสุกใส"ระบาด 2เดือน ป่วย 8 พันคน
ที่มา : www.dailynews.co.th
แฟ้มภาพ
ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.ของทุกปี เป็นช่วงที่มักพบการระบาดของโรคสุกใส ในปีนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค.– 19 ก.พ.พบผู้ป่วยแล้ว 8,064 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต
นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.ของทุกปี เป็นช่วงที่มักพบการระบาดของโรคสุกใส ในปีนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค.– 19 ก.พ.พบผู้ป่วยแล้ว 8,064 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคดังกล่าว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง โดยทั่วไปไม่พบโรคแทรกซ้อน แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการทางสมองและปอดบวมได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงแก่ชีวิต ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ผู้ที่กินยากดภูมิต้านทาน ทารกแรกเกิด สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงขอให้พบแพทย์เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ดังนั้นจึงได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เฝ้าระวังสถานการณ์ระบาด โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก มีโอกาสเกิดการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ง่าย เช่น โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก เรือนจำ เป็นต้น และให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรค หากป่วยขอให้หยุดเรียน หยุดงานจนกว่าจะพ้นระยะการติดต่อคือแผลตกสะเก็ดและแห้งไป ส่วนใหญ่จะประมาณ 5 วันหลังเริ่มมีอาการ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆ
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า โรคสุกใสเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกับที่ทำให้เป็นโรคงูสวัด โดยเชื้อจะกระจายตัวอยู่ในอากาศ ติดต่อทางการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย การคลุกคลีใกล้ชิด สัมผัสน้ำเหลืองจากตุ่มพองใสที่ผิวหนังของผู้ป่วย หลังรับเชื้อประมาณ 10 – 20 วัน จะเริ่มเกิดอาการ มีไข้ต่ำๆ ต่อมาจะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสในวันที่ 2-3 วัน หลังจากเริ่มมีไข้ หลังจากนั้นตุ่มจะเป็นหนอง เริ่มแห้งตกสะเก็ด รวมเวลา 5-20 วัน ผื่นอาจขึ้นในคอ ตา และในปาก เมื่อเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต แต่เชื้ออาจหลบอยู่ในปมประสาทและมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดได้ภายหลัง ทั้งนี้สามารถป้องกันได้โดยล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล เวลาไอ จามปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้ง หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ.