เผยเด็กไทยใช้เงินส่วนใหญ่เล่นเกมส์!!

ชี้! พ่อแม่ละเลย ยิ่งส่งเสริมลูกติดงอม

 

 เผยเด็กไทยใช้เงินส่วนใหญ่เล่นเกมส์!!

          เด็กไทยใช้เวลาและเงินส่วนใหญ่ในการเล่นวีดิโอเกมส์ การใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านและอยู่คนเดียว ยิ่งเป็นตัวส่งเสริมให้เด็กเล่นคอมพิวเตอร์และวีดิโอเกมส์มากขึ้น เด็กอายุ 12 – 17 ปีในสหรัฐอเมริกาเล่นเกมส์โดยเฉลี่ย 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยเด็กผู้หญิงเล่นเกมส์โดยเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เด็กผู้ชายเล่นเกมส์โดยเฉลี่ย 13 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เด็กผู้ชายชอบเล่นวิดีโอเกมส์ที่มีความรุนแรงและเล่นเกมส์มากกว่าเด็กผู้หญิง

 

          ในขณะที่ประเทศไทยจากการสำรวจสภาวการณ์ของสถาบันรามจิตติ ปี 48 – 49 พบว่า เด็กที่เล่นเกมส์ช่วงวัยประถมมีประมาณ 50% ของทั้งหมด มัธยมศึกษาตอนต้นมีประมาณ 47% และอาชีวศึกษามีประมาณ 43% ของประชากรกลุ่มนี้ และเวลาที่ใช้ในการเล่นเกมส์ออนไลน์ เกมคอมพิวเตอร์และเกมอื่นๆ ของเด็กประถม ประมาณ 1.30 ชม.ต่อวัน ในขณะที่มัธยมศึกษาตอนต้น และอาชีวศึกษาประมาณ 2 ชม.ต่อวัน

 

          นอกจากนี้ในการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทยอายุ 7 – 21 ปี ในเขตกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลนิยมเล่นเกมส์ออนไลน์ถึง 1,451,179 คน และวีดิโอเกมส์เป็นกิจกรรมที่วัยรุ่นที่ชอบมากที่สุด พบว่ามีการเล่นเกมส์เฉลี่ย 4.5 ชม.ต่อวัน ค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมส์ออนไลน์โดยเฉลี่ยเท่ากับ 1,114 บาทต่อเดือน บริเวณใกล้บ้านมีร้านเล่นเกมส์เฉลี่ย 5 ร้าน ใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปร้านเกมส์ไม่เกิน 10 นาที

 

          ในอดีตที่ผ่านมาได้มีการศึกษาบทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ต่อการเล่นเกมส์หรือคอมพิวเตอร์ต่างๆ ของเด็กและเยาวชน พ่อแม่ส่วนใหญ่ยอมรับว่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้เด็กเล่นเกมส์หรือคอมพิวเตอร์ให้แน่ชัดลงไปเป็นเวลาที่แน่นอนหรือกำหนดว่ากี่ชั่วโมง

 

          นอกจากนี้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจในเนื้อหาและรายละเอียดของเกมส์ และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแบ่งชนิดของเกมส์ตามความเหมาะสมของอายุของผู้เล่น เด็กที่เล่นเกมส์วีดิโอหรือเกมส์ออนไลน์ต่างๆ ยอมรับว่าเล่นเกมส์เกินเวลาที่ตั้งใจไว้เป็นส่วนใหญ่ เด็กและเยาวชนหรือเด็กที่มีอายุน้อยจะใช้เวลาเล่นวีดิโอเกมส์มากกว่าผู้ใหญ่หรือคนที่มีอายุมากขึ้น

 

          ปัญหาดังกล่าวมีผลกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านความคิด การตัดสินใจ เจตคติ การกระทำ และการแสดงออกพฤติกรรมด้านต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจและสังคม ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว การทำร้ายร่างกายและการละเมิดทางเพศ ซึ่งบางครั้งความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต มีผลกระทบทางด้านการเรียน การใช้สารเสพติด การพัฒนาการที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและทักษะชีวิตได้ไม่สมบูรณ์หรือไม่เหมาะสม เช่น การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ฯลฯ ในการแก้ปัญหาต้องมีความเป็นเอกภาพของทุกคนรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนร่วมกันกำหนดแนวทาง มาตรการในการป้องกันเด็กติดเกมส์

 

          เด็กที่ติดเกมส์อยู่แล้วพ่อแม่ ผู้ปกครองควรใช้บันได 3 ขั้นเบื้องต้นในการเยียวยาปัญหา ได้แก่

 

          ขั้นที่ 1. การสร้างสัมพันธภาพภายในครอบครัวโดยเฉพาะกับเด็กเองด้วยการจับถูก มากกว่าจับผิด

 

          ขั้นที่ 2. การสร้างข้อตกลงร่วมกันที่ถูกต้องเหมาะสม และการติดตามด้วยแรงเสริมบวก

 

          ขั้นที่ 3. การมีพื้นที่กิจกรรมที่สามารถให้แสดงออกที่หลากหลาย

 

          เด็กพลัสขอเสนอ ข้อสรุปแนวทางและมาตรการป้องกันเด็กติดเกมส์

 

          ระดับเด็กวัยรุ่น

 

          – กิจกรรมสร้างสรรค์ ทางเลือกที่หลากหลายเข้าถึงง่าย

 

          – การได้รับการฝึกแบบฝึกหัดชีวิตเช่น ทักษะชีวิต วิธีระบายอารมณ์ที่เหมาะสมและการขจัดความเครียด ที่หลากหลาย

 

          – ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ อย่างน้อย 30 นาที ทุกวัน

 

          ระดับพ่อแม่

 

          – ให้เวลาและความสำคัญในการพูดคุยกับลูก 15 – 30 นาที สม่ำเสมอทุกวัน

 

          – ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ร้องเพลง ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง ทำสวน ทำอาหาร

 

          – กำหนดกรอบกติกาด้วยวินัยเชิงบวกที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่น เช่น การจัดสิ่งแวดล้อม (ไม่มีทีวี อินเทอร์เน็ตในห้องนอน ให้อยู่ที่ส่วนกลางของบ้าน) ตกลงกติการ่วมกับวัยรุ่น (เล่นวันละ 1 ชม.ต่อวัน เท่านั้นรวมทั้งความเหมาะสมในเนื้อหาของเกมส์)

 

          ระดับโรงเรียน

 

          – เปิดพื้นที่ให้มีกิจกรรมกีฬาที่หลากหลาย โดยร่วมมือกับชุมชน

 

          – สร้างแนวร่วมกับชุมชนในการใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์กับกิจกรรมการเรียนแทนการเล่นเน็ทเกมส์

 

          – ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อช่วยกันดูแล

 

          ระดับชุมชน

 

          – ระบบเฝ้าระวังจัดการ ระดับชุมชน

 

          – รณรงค์ร้านอินเตอร์เน็ทสีขาว มีการกำหนดปริมาณร้านและกำหนดเวลาในการเล่น

 

          – กิจกรรมทางเลือกอื่นๆ ในชุมชนที่หลากหลาย

 

          – กำหนดพื้นที่ในทุกชุมชนทั้งประเทศในการทำกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกันระหว่างเด็ก เยาวชนและครอบครัว

 

          ระดับประเทศ

 

          – กำหนดมาตรการควบคุมผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ

 

          – กำหนดมาตรการควบคุมลักษณะของเกมส์ที่เหมาะสมกับวัยและจำกัดเวลา

 

          – กิจกรรมรณรงค์สร้างสรรค์ที่หลากหลายทุกตำบลทั้งประเทศ

 

          – ส่งเสริมให้มีเครือข่ายเฝ้าระวัง/จัดการสื่อร้ายระดับประเทศและระดับท้องถิ่น

 

          ตัวอย่างกิจกรรมที่ต้องรีบเร่งในการรณรงค์ให้เกิด เพื่อลดความรุนแรงในเด็กและเยาวชน

 

          1. โครงการสร้างทักษะการขจัดความเครียดให้กับเด็ก

 

          2. โครงการจิตอาสากับชุมชนและวัดใกล้บริเวณโรงเรียน

 

          3. โครงการปิยวาจาระดับบ้าน, โรงเรียนและชุมชน

 

          4. โครงการทักษะการดูแลเด็กและเยาวชนแบบวินัยเชิงบวก

 

          5. โครงการเฝ้าระวัง/ติดตาม ของเครือข่ายผู้ปกครอง

 

          6. โครงการเฝ้าระวัง/ติดตาม ของครูในโรงเรียน

 

          7. โครงการกิจกรรมสันทนาการนอกหลักสูตรหลังเลิกเรียน เช่น ดนตรี กีฬา วาดรูป ร้องเพลง และอื่นๆ

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

Update 26-05-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code