“เปิดพื้นที่ครอบครัว ขจัดพื้นที่ร้าย ขยายพื้นที่ดี”

เติมเต็มส่วนที่สังคมยังขาด โดยเฉพาะหน่วยเล็กๆ อย่างครอบครัว

 

“เปิดพื้นที่ครอบครัว ขจัดพื้นที่ร้าย ขยายพื้นที่ดี”

           ในปีที่ผ่านมาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้สร้างผลงานอีกหลายสิ่งที่ถือว่าเป็นการเติมเต็มส่วนที่สังคมยังขาดหายอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะเรื่องของหน่วยเล็กสุดของสังคมอย่างครอบครัว

 

          เป้าหมายที่ให้สร้างเสริมสุขภาพ ด้วยการลดสิ่งร้าย กระจายสิ่งดี แม้ว่าจะไม่เห็นเด่นชัด แต่สิ่งที่ภาคีอย่างมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวดำเนินการ เป็นการดำเนินการในหน่วยฐานที่เล็กที่สุดของสังคม ค่อยๆ กระจายองค์ความรู้และเน้นการเป็นพื้นที่การเรียนรู้ของครอบครัวในส่วนต่างๆ

 

          เหตุนี้จึงไม่อาจเห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัด ซึ่งเคลือบไปด้วยความฉาบฉวยอย่างหน่วยงานใดๆ

          ผลงานในปี 2552 ของมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวแบ่งเป็น 4 ครอบครัว แบ่งเป็น 4 ส่วนที่เกี่ยวข้องได้แก่ 1.โรงเรียน 2.ชุมชน 3.สื่อมวลชน และ มวลชน และ4.ครอบครัวกลุ่มพิเศษ

 

          เหตุเพราะครอบครัวไทยขาดพื้นที่ทางสังคมในการนการเรียนรู้ ทำให้แต่ละครอบครัวแยกกันไปตามแต่ละชะตากรรมอยู่แบบทางใครทางมัน ไม่มีพื้นที่สาธารณะในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ที่หาไม่ได้ในตำราหรือห้องสมุด อาทิ วิธีแก้ปัญหาลูก แก้ปัญหาสัมพันธภาพในครอบครัว

 

          เริ่มจากโรงเรียน ซึ่งแต่ละโรงเรียนมีสมาคมผู้ปกครองนักเรียน แต่ที่ผ่านมาเป็นเพียงในนามที่จัดตั้งขึ้น แต่ความสัมพันธ์และการเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ของครอบครัวผู้ปกครองด้วยกันกลับไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร

 

          แต่ในปีที่ผ่านมามูลนิธิเครือข่ายครอบครัวได้ลงพื้นที่ใน 11 จังหวัด อาทิ กทม. สุรินทร์ ลำปาง น่าน กาฬสินธุ์ ฯลฯ ในการผนึกกำลังระหว่างครูโรงเรียนร่วมกับครอบครัวในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ของครอบครัว แลกเปลี่ยนประสบการณ์

 

          “ผลที่พบคือ เมื่อพ่อแม่ ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนในการแก้ไขปัญหาเด็ก ก็พบว่า เด็กมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น ปัญหาเด็กคลี่คลายลง”

 

          ถัดมาในส่วนของชุมชน เป็นการดึงปัญหาของครอบครัวให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากครอบครัวอื่นๆ ในชุมชน โดยจังหวัดที่ได้นำร่องและพัฒนาพื้นที่ระดับชุมชนให้ร่วมกันแก้ปัญหามี 8 จังหวัด ใน 50 ตำบล อาทิ พะเยา สุรินทร์ น่าน ลำปางฯลฯ ซึ่งบางจังหวัดทับซ้อนกับจังหวัดที่ดำเนินการเรื่องโรงเรียนด้วย

 

          นอกจากการนำปัญหาของครอบครัวมาแชร์กันและช่วยกันแก้ปัญหาแล้ว ยังรวมถึงปัญหาของชุมชน ให้ครอบครัวหรือประชาชนร่วมกันแก้ปัญหาของชุมชนอย่างไรด้วย เพราะคงแยกความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับชุมชนให้ขาดจากกันไม่ได้ เพราะถ้าชุมชนไม่ดี ครอบครัวก็คงดีไม่ได้

 

          ประเด็นด้านชุมชนนี้ อาทิ การขจัดพื้นที่ไม่สร้างสรรค์ในชุมชน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาส่งผลถึงครอบครัว หรือการุเปลี่ยนแปลงของวิถีชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับครอบครัวอย่างที่เคยดำเนินการคือ เรื่องวัฒนธรรม พ่อล่ามแม่ล่าม ที่เป็นคนคอยดูแลเด็กที่จะหายไปจากชุมชน ก็ให้ครอบครัวช่วยกันคิดแก้ปัญหา

 

          ต่อมาเป็นเรื่องของสื่อ ที่เน้นวิทยุชุมชนและสื่อกระแสหลักคือ “สถานีวิทยุเพื่อเด็กและครอบครัว”FM 105 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งถือว่าเป็นการทำคลื่นวิทยุสำหรับเด็กและครอบครัวตลอด 24 ชั่วโมง โดยลิงก์วิทยุชุมชนในเครือข่ายต่างจังหวัด เพราะวิทยุชุมชนสามารถเข้าถึงประชาชนในต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดี

 

          กลุ่มสุดท้ายที่มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวดำเนินการในปีที่ผ่านมา คือ กลุ่มครอบครัวลักษณะพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งขณะนี้ประมาณ 2-3 ล้านครัวเรือน ซึ่งขณะนี้การหย่าร้างเกือบเพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของคู่สมรสทั้งหมด 3 แสนคู่ จากเดิมที่มีการหย่าร้างถึง 1 ใน 4 ของคู่สมรสในไทย ซึ่งเด็กก็มีโอกาสที่จะไม่มีพ่อ หรือไม่มีแม่เพิ่มมากขึ้น

 

          ดังนั้นการรวมกลุ่มครอบครัวที่มีลักษณะครอบครัวใกล้เคียงกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเลี้ยงดูเฉพาะทาง เป็นชมรมครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งอย่างในกทม. สุรินทร์ เชียงใหม่ สงขลา สุราษฎร์ธานี ฯลฯ ก็มีการจัดกลุ่มพ่อแม่กลุ่มพิเศษนี้ด้วย

 

          นอกจากนี้ยังมีกลุ่มครอบครัวเด็กพิเศษทางสมอง โดยหาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการดูแลเด็กและครอบครัวของเด็กพิเศษเหล่านี้ เพราะแพทย์อาจให้คำแนะนำที่เป็นทางทฤษฎี แต่การมีพื้นที่การเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

          การทำงานเชิงสังคม ไม่ใช่ว่าจะสร้างปรากฏการณ์ให้เห็นได้ด้วยระยะเวลาอันสั้นดังนั้นการทำงานที่เป็นเรื่องลงในหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม จึงต้องอาศัยระยะเวลา แต่สิ่งที่เริ่มตกผลึกคือความรู้ และประสบการณ์ที่ครอบครัวนำร่องเหล่านี้จะได้รับ และหลังจากนี้ก็จะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากปากต่อปาก จากครอบครัวสู่ครอบครัว จากบ้านสู่บ้าน จากชุมชนสู่ชุมชน จากอำเภอสู่อำเภอ ไปสู่ระดับจังหวัด ระดับภาค และประเทศ

 

          จึงถือว่า ไม่มีชัยชนะใด ที่ไม่มีจุดเริ่มต้น อย่างเช่นที่มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

Update:16-02-53

 

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code