เปลี่ยนวิถีชีวิต มีสติเข้าใจ ‘โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง’
หนึ่งในผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้ป่วย “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” (Non-communicable diseases) หรือ ที่รู้จักกันในนาม NCDs ผ่านทางรายการ ชีวิต l ลิขิต l โรค จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อย่างคุณลุงมานพ เข็มเป้า ชายวัย 60 ปี ข้าราชการบำนาญกรมตำรวจ ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากวินิจฉัยของแพทย์ระบุว่า จะมีชีวิตอยู่เพียง 6 เดือน ปัจจุบันคุณลุงมานพ ใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้มากกว่า 10 ปี
ลุงมานพเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า สาเหตุที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เพราะสังเกตเห็นว่า คอบวม และคลำพบเม็ดเล็กๆ ขนาดเม็ดองุ่นบริเวณคอ จึงไปตรวจและหมอวินิจฉัยว่า อาจเป็นอาการอักเสบจากไข้หวัด หรือติดเชื้อ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตได้ จึงกินยาปฏิชีวนะรักษาอาการประมาณ 1 อาทิตย์ แต่อาการยังไม่ดีขึ้น หมอจึงเจาะเลือดที่ก้อนเนื้อนำไปตรวจและพบเพียงว่า ต่อมอักเสบรุนแรง หลังจากนั้นหมอได้ตัดก้อนเนื้อไปตรวจพิสูจน์ จึงพบว่าเป็น ‘มะเร็งต่อมน้ำเหลือง’
‘การใช้ชีวิตและพฤติกรรมเสี่ยง’
“ปัจจัยที่ทำให้เกิด คือ วิถีชีวิตประจำวันของลุงที่ผ่านมา ในขณะที่เราอายุยังน้อย มักไม่ค่อยใส่ใจดูแลสุขภาพ ลุงมีพฤติกรรมดื่มสุราหนักมาก หรือจะเรียกว่า ติด เลยก็ได้ เมื่ออายุมากขึ้น เป็นธรรมดาที่ภูมิต้านทานของร่างกายก็ลดลง เพราะไม่เคยใส่ใจสุขภาพของตัวเอง อาการของโรคที่สะสมไว้ก็เริ่มแสดงออกมา” ลุงมานพบอก
‘การรักษาทางเคมีบำบัด’
ลุงมานพเล่าว่า ตนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B cell (บี-เซลล์) เป็นชนิดที่อันตรายมาก การรักษาทางเคมีบำบัด หรือที่เรียกว่า คีโม ไม่สามารถรักษาได้หายขาด และต้องรักษาทั้งหมด 6-8 ครั้ง ใน 1 คอร์ส การให้คีโมในครั้งแรกๆ ยังไม่มีผลข้างเคียงมากนัก เมื่อเข้าสู่ครั้งที่ 3 และ 4 เริ่มเกิดอาการข้างเคียงไม่ว่าจะเป็น ผมร่วง ภูมิต้านทานร่างกายก็ลดลง ติดเชื้อได้ง่าย เกิดภาวะตับแข็ง ตัวเหลือง ตาเหลือง
“หลังจากที่ทำคีโมได้ 6 ครั้ง หมอให้กลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะร่างกายไม่พร้อมจะรักษาต่อ และหมอบอกอีกว่า จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 6 เดือน เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว หัวใจเราแทบสลาย เหมือนคนไม่มีสติเลย”ลุงมานพบรรยายถึงความรู้สึกขณะนั้นให้ฟัง
การรักษาทางเคมีบำบัดที่ยังไม่สิ้นสุด ด้วยความรุนแรงของตัวยาทำให้เกิดภาวะข้างเคียง อาเจียนเป็นเลือด และสภาพร่างกายทรุดโทรม ลุงมานพเคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง และมีครั้งหนึ่งที่เกือบจะสำเร็จ แต่ภรรยามาช่วยไว้ได้ทัน
ลุงมานพบอกว่า ตนตัดสินใจจะไม่ทำคีโมอีก และตนพร้อมหากจะต้องตาย ภรรยาจึงตัดสินใจไม่พาไปรักษาทางเคมีบำบัด และบอกกับตนให้สู้และต้องมีชีวิตอยู่เป็นเพื่อนกันตลอดไป จากคำพูดภรรยาตนจึงได้สติและเริ่มคิดได้ จึงหันมาดูแลด้วยตัวเองด้วยวิธีทางธรรมชาติ
“กิน อยู่ แบบธรรมชาติบำบัด”
ลุงมานพ บอกว่า หากมีจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 6 เดือน ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เมื่อกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน จึงเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง ได้ศึกษาแนวทางการใช้ชีวิตแบบชีวจิต เป็นวิถีชีวิต กิน อยู่ โดยใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เมื่อได้ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติบำบัด ร่างกายก็ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ตนจะกินผัก ผลไม้ ที่ปลอดสารเคมี ก็จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นยาวิเศษ ที่ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายกลับคืนมาแข็งแรงได้อีกครั้ง
“ใช้ภูมิต้านทานเท่านั้นในการต่อสู้กับโรคร้าย”
“อาหารเป็นเหมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น การสร้างภูมิต้านทาน เริ่มต้นจากกินอาหารที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ ใส่สารปรุงแต่งน้อยที่สุด และปลอดสารเคมี งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด หลังจากนั้น 2 เดือน สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจริงๆ แล้วกว่าจะทำได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง และต้องมีสติ ปัจจุบันนี้ลุงไม่ได้กินยาเลยแม้แต่เม็ดเดียว แต่ใช้อาหารเป็นยารักษาร่างกายแทน และใช้ระบบภูมิต้านทาน ต่อสู้กับโรคต่างๆ ทั้งมีและไม่มีเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด หรือ มะเร็ง”ลุงมานพบอก
ลุงมานพ เล่าให้ฟังอีกว่า นอกการเรื่องการกินแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ก็เริ่มจากเคลื่อนไหวได้เพียงเล็กน้อย เริ่มจากเดินวันละ 10 ก้าว และมากขึ้นเรื่อยๆ เป็น 20, 30 ก้าว และเริ่มเดินตามสวนสาธารณะ จึงเห็นคนที่มาออกกำลังกายวิ่งผ่านไป ยิ่งเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เราอยากวิ่งได้อย่างคนอื่น จึงยิ่งพยายามออกกำลังกายไปเรื่อยๆ หลังจากนั้น 4-5 เดือน ก็เริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งได้ เพื่อนๆ นักวิ่งเห็นก็ชวนไปลงสนามแข่ง และเมื่อได้ลงแข่งวิ่งเพียงครั้งเดียว ความรู้สึกปลาบปลื้มใจเกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ จึงเริ่มมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น จนตอนนี้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้
“ลุงเป็นมะเร็งเมื่อปี 46 แต่มีชีวิตอยู่มา 10 ปีแล้ว ปัจจุบันนี้ สุขภาพร่างกายเราแข็งแรงมากขึ้น แรงบันดาลใจและความใฝ่ฝันที่ลุงและภรรยามีร่วมกัน คืออยากจะพิชิตภูกระดึงให้ได้ เมื่อร่างกายและจิตใจเราพร้อม จึงตัดสินใจเดินขึ้นภูกระดึงด้วยกัน” ลุงมานพพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
“โรคร้ายเมื่อเป็นแล้ว หากเข้าใจมีสติ เราก็สามารถสู้กับมันได้ ขอเพียงอย่ายอมแพ้ ปาฏิหาริย์มันเกิดขึ้นได้เสมอหากเกิดจากตัวเราเป็นผู้สร้างขึ้นมา เป็นผู้เลือกเส้นทางด้วยตัวเอง” ลุงมานพฝากทิ้งท้าย
เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th