เปลี่ยนขยะเป็นกระดาษ
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ konkao.net
ภาพชานอ้อยที่ถูกคั้นความหวาน กองทิ้งอย่างไม่ใยดีข้างทาง มีให้เห็นระหว่างทางจากบ้านมาโรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 2 สงขลา ต.คูหาใต้ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เป็นภาพชินตา
ทำให้ ครูกุ้ง-กันตพงศ์ สีบัว รู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะเห็นชานอ้อยบางส่วนตกลงไปในคลอง ทำให้น้ำเน่าเสีย และเริ่มส่งกลิ่นเหม็น เป็นปัญหามลพิษ ครูกุ้งจึงชวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนกศิลป์-สังคม ซึ่งประกอบด้วย บีม-พีรพัฒน์ พรมสีนอง, ต้น-สรวิชญ์ วัฒขาว, ตูม-เสฏฐวุฒิ ฮั่นบุญศรี, เสกเสกฐวุฒิ คำแก้ว และ ณัฐ-ณัฐพงษ์ มั่นจิตต์ ศึกษาข้อมูลเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา
โครงการเปลี่ยนชานอ้อยเป็นกระดาษ เป็นหนึ่งในโครงพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา ดำเนินการโดยสงขลาฟอรั่ม สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นช่องทางที่เอื้อให้นักเรียนแก้ปัญหาและลดมลภาวะจากขยะชานอ้อยโดยการทำให้เกิดประโยชน์
เสกฐวุฒิ เล่าว่า ในพื้นที่ชุมชนมีการปลูกและขายน้ำอ้อยเป็นจำนวนมาก หลังคั้นน้ำอ้อยเสร็จแล้ว พ่อค้าแม่ค้ามักนำชานอ้อยไปวางทิ้งไว้ตามโคนต้นไม้ อ้อยเป็นพืชที่มีน้ำตาลสูง เมื่อมีการทับถมกันมากๆ น้ำอ้อยจะซึมลงดิน จึงส่งผลให้ต้นไม้ตาย นอกจากนี้ยังมีชานอ้อยบางส่วนตกลงไปในคลองภูมิที่ไหลลงสู่ทะเลสาปสงขลาที่ ตำบลปากบาง อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา ซึ่งขณะนี้เริ่มมีปัญหาน้ำเน่าเสียแล้วในบางจุด
นอกจากต้องการแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว อีกเหตุผลที่ทีมงานรวมตัวกันทำโครงการนี้ เพราะการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีเวลาว่างค่อนข้างมาก จึงนำประสบการณ์ที่ครูภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาสอนเกี่ยวกับการทำกระดาษจากใบสับปะรดมาต่อยอดว่า ถ้าเปลี่ยนใบสับปะรดมาเป็นชานอ้อยจะสามารถนำมาผลิตเป็นกระดาษได้หรือไม่ ซึ่งหากทำได้ก็ช่วยโรงเรียนลดค่าใช้จ่ายเรื่องกระดาษที่นำมาใช้ในงานประดิษฐ์และการจัดบอร์ด
เนื่องจากสูตรการทำกระดาษตั้งต้นมาจากใบสับปะรด เมื่อต้องเปลี่ยนวัสดุมาเป็นชานอ้อย ทีมงานจึงต้องทดลองหลายครั้งและหลายสูตร เพื่อหาสูตรที่เหมาะสม โดยเฉพาะการหาสัดส่วนของการใส่โซดาไฟที่ใช้ต้มชานอ้อยให้เปื่อยยุ่ยพอดี เวลา 2-3 คาบเรียนในชั่วโมงชุมนุม จึงถูกใช้เพื่อการทดลองเพื่อหาคำตอบดังกล่าว ระหว่างรอผลการทดลอง ทีมงานพากันไปรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของขยะชานอ้อยแก่แม่ค้า โดยก่อนรณรงค์ได้มีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาจากชายอ้อยไว้ก่อน เพื่อใช้เป็นประเด็นในการสำรวจสภาพในพื้นที่ว่า ตรงกับข้อมูลที่สืบค้นมาหรือไม่ แล้วคัดสรรแต่เนื้อหาหลักๆ ที่ตรงกับสภาพพื้นที่มาใช้รณรงค์ต่อไป
หลังรณรงค์เสร็จ ทีมงานกลับมาสรุปบทเรียนการทำงานร่วมกัน ทุกคนเห็นตรงกันว่า การรณรงค์ได้ผลค่อนข้างดี คือทีมงานได้บอกแม่ค้าเรื่องโทษของชานอ้อย ขอร้องไม่ให้ทิ้งชานอ้อยลงในลำคลอง ทั้งยังได้ประสานงานขอชานอ้อยไว้ด้วย
เมื่อทดลองจนได้สูตรที่ลงตัวแล้ว คือ หลังทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ติดมากับชานอ้อยเสร็จแล้ว ต้องสับชานอ้อยให้มีขนาด 3-5 เซนติเมตร แล้วนำชานอ้อยหนัก 7.5 กิโลกรัมไปต้มโดยใส่น้ำให้ท่วมชานอ้อยทั้งหมด ใส่โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ) 200 กรัม ขณะต้มต้องคอยคนเป็นระยะๆ ประมาณ 40 นาที เสร็จแล้วปล่อยให้เย็นแล้วนำชานอ้อยที่ต้มแล้วไปล้างน้ำสะอาดให้หมดเมือกลื่น นำไปปั่นให้ละเอียด เสร็จแล้วจึงนำไปใส่กะละมังหรือบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ที่ผสมน้ำไว้แล้ว ใช้มือคนให้ทั่ว และยกดูความหนาของเยื่อกระดาษให้ได้ความหนาตามต้องการ จากนั้นจึงนำเฟรมมาช้อนเยื่อกระดาษ นำไปตากแดดให้แห้งทั่วทั้งแผ่น เมื่อกระดาษแห้งสนิทจึงลอกออกจากแผ่นเฟรมอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระดาษขาด
"ถ้าต้องการให้กระดาษมีสีสันสวยงามต้องนำชานอ้อยไปต้มรวมกับสีที่ต้องการอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้สีย้อมผ้า การย้อมสีครึ่งปี๊บใช้สีครึ่งซอง คือ 7.5 กรัม (สี 1 ซอง 15 กรัม) ต้มย้อมสีแล้วนำไปปั่นละเอียด ถ้าอยากให้กลิ่นหอมให้ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วจึงนำไปปั่นและร่อน การจะร่อนให้ได้กระดาษที่มีขนาดเท่ากันทั้งแผ่น คนที่ทำหน้าที่ร่อนต้องมีสมาธิในการยกเฟรม ไม่ให้เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง มิเช่นนั้นกระดาษจะมีความหนาบางไม่เท่ากัน" สรวิชญ์ อธิบายเทคนิคการย้อมสีกระดาษ
สูตรที่ค้นพบเป็นการทำกระดาษจากชานอ้อยล้วนๆ โดยไม่ต้องผสมเยื่อกระดาษชนิดอื่นปน เพราะชานอ้อยมีความเหนียว เมื่อมั่นใจในสูตรที่ค้นพบ ทีมงานจึงเริ่มหาสมาชิกที่จะมาร่วมเรียนรู้ โดยทีมงานเห็นว่า การตั้งเป็นชุมนุมน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะได้สมาชิกแล้ว ยังมีเวลาปฏิบัติงานที่แน่นอน และที่สำคัญคือมีการสืบทอดสู่รุ่นน้อง จึงหารือกับที่ปรึกษาโครงการขอตั้ง "ชุมนุมมิตรรักสิ่งแวดล้อม"เพื่อจัดการกับชานอ้อย
เมื่อผลงานกระดาษจากชานอ้อยเริ่มปรากฏแก่สายตาของคณะครู และนักเรียนในโรงเรียน จึงมีผู้ขอกระดาษไปใช้ห่อของขวัญและจัดบอร์ดอยู่เนืองๆ พร้อมกันนั้นครูที่อาศัยอยู่ในชุมชนร่วมพัฒนาที่3ตำบลกำแพงเพชร ได้ประสานกับกลุ่มแม่บ้านในชุมชนให้รับซื้อกระดาษชานอ้อยไปทำดอกไม้จันทน์สร้างรายได้เสริม กระดาษชานอ้อย 1 แผ่น สามารถทำดอกไม้จันทน์ได้ 3-4 ดอก ทีมงานจึงสามารถสร้างรายได้จากการขายกระดาษได้อีกทางหนึ่ง
"กระดาษชานอ้อยขายปลีกราคาแผ่นละ 5 บาท หากขายส่งราคาจะลดลงมานิดหน่อย แต่กำลังการผลิตของเรายังน้อย เพราะมีเฟรมไม่มากและยังขึ้นอยู่กับแสงแดด ครั้งหนึ่งจึงผลิตได้เพียง 15-20 แผ่น เงินที่ขายได้ก็เก็บไว้เป็นทุนซื้ออุปกรณ์" เสกฐวุฒิ เล่า
นอกจากการแปรรูปกระดาษโดยสมาชิกในโรงเรียนและกลุ่มแม่บ้านชุมชนร่วมพัฒนาที่ 3 ตำบลกำแพงเพชรแล้ว ชุมนุมมิตรรักสิ่งแวดล้อมก็ได้สนับสนุนให้สมาชิกในชุมนุมฝึกการแปรรูป สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากกระดาษชานอ้อย บางคนก็ทำโคมไฟ (เหมือนโคมกระดาษสา) สมุดบันทึก กรอบรูป ถุงกระดาษใส่ของ ฯลฯ การทำกระดาษจากชานอ้อยแม้จะเป็นส่วนน้อยในการแก้ปัญหาชานอ้อย แต่ก็ทำให้ข้างถนนที่มีการสัญจรไปมาสะอาดขึ้น และลดการเกิดน้ำเน่าเสียที่จะไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาอันเป็นแหล่งทำมาหากินของผู้คนในพื้นที่ลุ่มทะเลสาบ
ครูกุ้ง เล่าว่า ความเปลี่ยนแปลงของลูกศิษย์ที่เห็นได้ชัดเจน คือ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สู่ผู้อื่น ทั้งเรื่องมลภาวะจากชานอ้อย การทำกระดาษจากชานอ้อย ซึ่งเป็นบทบาทที่ตอบโจทย์เรื่องการเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียน และกระบวนการผลิตกระดาษของโครงการยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในสาระอื่นๆ เช่น ครูสาระวิทยาศาสตร์นำความรู้ และขอยืมอุปกรณ์ไปใช้สอนในเรื่องการทำกระดาษจากเยื่อพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
แต่สิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์คือ ผลงานของทีมงานสามารถตอบสนองความต้องการใช้กระดาษจำนวนมากในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้โรงเรียนลดค่าใช้จ่ายไปได้ส่วนหนึ่ง และสิ่งที่อยากเห็นคือ การต่อยอดในโรงเรียนอื่นๆ หรือชุมชน เชื่อว่าหากหลายๆ หน่วยงานช่วยกันนำชานอ้อยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำเน่าเสีย และมลภาวะจากขยะลงได้