เน้นใช้ศีลธรรมปลูกฝัง รักษ์ธรรมชาติ
หากมองกันให้ลึกจริงๆแล้ว ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่งเรื่องหนึ่งที่เราทุกคนควรตระหนัก เพราะมันส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี องค์การสหประชาชาติจึงได้กำหนดให้เป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” เพื่อให้มนุษย์เราได้ตระหนักถึงความสำคัญและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งในปีนี้ ได้กำหนดคำขวัญว่า “Forests : Nature at Your Service”หรือ “ป่าไม้มีคุณ เกื้อหนุนสรรพชีวิต คิดถนอมรักษา” หากแต่มองย้อนกลับไปดู ปัญหาเรื่องของสิ่งแวดล้อมกลับทวีความรุนแรงขึ้นและไม่มีแนวโน้นว่าจะไม่ดีขึ้นเลย หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป โลกของเราจะเป็นเช่นไรคงไม่มีใครอยากจะคิด…
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ดร จิรพล สินธุนาวา อุปนายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม บอกกับเราว่า ภาพรวมของปัญหาสิ่งแวดล้อมในบ้านเราตอนนี้ก็ยังอยู่ในเกณฑ์น่าห่วงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีการขยายตัวของปัญหามากขึ้น แต่ระบบการจัดการมันไม่ได้แกร่งขึ้นกว่าเดิม ผู้บริโภคอย่างประชาชนทั่วไปก็ยังไม่ใส่ใจ อาจเป็นเหตุเพราะยังถือว่าปัญหานั้นมีหน่วยงานหรือคนแก้ไขอยู่แล้ว จึงไม่สนใจที่จะช่วยกันทำอะไร
“ อย่างเช่นเรื่องใกล้ตัวอย่างการทิ้งขยะก็ยังเหมือนเดิม ก็ยังปล่อยให้เป็นเรื่องของสาธารณะของคนที่มีหน้าที่ไป ทั้งที่คนทั่วไปทุกคนก็มีศักยภาพพอในการแยกขยะแต่ก็ไม่แยก อีกทั้งในเรื่องของการบริโภคก็ยังคงบริโภคเกินความจำเป็นอยู่ คนที่ขับรถไปกินข้าวไกลๆ แล้วค่อยกลับมาทำงาน ก็ยังมีให้เห็นอยู่ และนั่นแสดงให้เห็นว่า คนทั่วไปยังคงไม่มีการตระหนักในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร อีกทั้งความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ก็ยังคงเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง อย่างแหล่งน้ำก็ยังทีการปนเปื้อน ทรัพยากรป่าไม้ก็ยังคงถูกขุด ตัด ขโมยออกมาขายกันเป็นจำนวนมากตลอดเวลา ซึ่งดูแล้วสถานการณ์ในภาพรวมมันไม่น่าดีขึ้นกว่าเดิมเลย เห็นได้จากพิบัติภัยที่เกิดขึ้น มันได้เพิ่มความถี่มากขึ้นและเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นตลอดเวลากว่าแต่ก่อนนี้มาก อีกทั้งผู้คนที่เดือนร้อนจากพิบัติภัย ก็มากขึ้นตามไปด้วย” ดร.จิรพลกล่าว
ดร.จิรพล กล่าวต่อว่า เหตุที่ทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในบ้านเรามีแนวโน้มแย่ลงอาจเป็นเพราะการบริหารจัดการในบ้านเรายังไม่ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ส่งผลให้มีการสะสมของปัญหาเยอะมากขึ้น อาจเพราะไม่ได้รับความร่วมมือในการช่วยกันแก้ไขตั้งแต่แรก และเชื่อได้เลยว่าหากปล่อยไว้แนวโน้มปัญหาจะมีความซับซ้อนและยากต่อการบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก
หากจะมองดูว่าปัญหาใดที่ควรได้รับการแก้ไขมากที่สุด ดร.จิรพล บอกว่า คงจะเป็นปัญหาเรื่องการบริโภคที่เกินพอดีของคนเราน่าจะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่น่าจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด เพราะนั่นเป็นตัวชี้ให้เห็นชัดเจนเลยว่าประชาชนทั่วไปไม่มีความตระหนักเรื่องของสิ่งแวดล้อมเลย หากเปรียบเทียบกับประเทศในแบบตะวันตก แต่ก็ไม่ใช่ว่าประเทศนั้นๆดีกว่าเรา หากแต่เรื่องความตระหนักในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเขามีมากกว่าบ้านเรา สามารถลดปริมาณการใช้รถยนต์ลงได้ โดยการมาใช้รถร่วมกัน มาขี่จักยานมากขึ้น แต่มองกลับมาในประเทศไทยกลับอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อมีการจัดงานโชว์รถชื่อดังก็แห่กันไปจอง ไปซื้อรถ อีกทั้งรถป้ายแดงก็ยังเห็นกันเกลื่อนถนนอยู่ทุกวัน มันต่างกันอย่างชัดเจน
“ทั้งหมดนั้นก็เป็นตัวชี้ได้ว่า คนไทยยังคงมีความตระหนักในเรื่องของปัญหาน้อยมาก จนไม่สามารถทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ เพราะคนไทยก็ยังคงนิยมชมชอบกับคนที่มีรถแพงๆ หรือคนที่สามารถซื้อรถใหญ่ๆ”
ดร.จิรพล บอกต่ออีกว่า ในด้านของการบริโภคอาหารก็เช่นกัน ถึงแม้กระแสการบริโภคของคนไทยจะดีขึ้น คนหันมาบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นก็เพื่อตนเอง แต่ในประเทศที่เขาตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากๆนั้น ส่วนใหญ่จะบริโภคมังสวิรัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนสัตว์ เพราะการบริโภคเนื้อสัตว์เป็นตัวเร่งให้เกิดแก็สเรือนกระจก แต่คนไทยยังนิยมบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ ยังคงเน้นการบริโภคนิยมอยู่เช่นเดิม
“ฉะนั้นในแง่ของปัญหาทั้งหมดแน่นอนว่ามันไม่ดีขึ้น ในแง่ของแนวโน้มก็จะไม่ดีขึ้นตามไปด้วย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นต้นเหตุมากน้อยเพียงใด หรือบางคนเข้าใจ รับรู้ แต่ไม่ยอมลงมือทำเพราะยังขาดแรงจูงใจ ซึ่งผู้ที่ขาดแรงจูงใจนั้นก็คือผู้ที่ขาดจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อม คนที่มีจิตใจเมตราปราณี มีศีลธรรมจะมีจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า เพราะไม่อยากได้ชีวิตที่ไปเบียดเบียนผู้อื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องของศีลธรรม เป็นเรื่องที่เข้าไปถึงจิตใจคนได้ยาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เค้ารู้สึกว่าการบริโภคของเค้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่มีใครล้มตายก็เลยไม่รู้สึกอยากทำอะไร หากคนที่มีจริยธรรมจริงๆ แค่เห็นเนื้ออยู่ในจานก็ไม่อยากรับประทาน หรือแม้แต่การที่จะโยนขยะทิ้งข้างทางก็ไม่อยากทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร” ดร.จิรพล
ดร.จิรพล บอกทิ้งท้ายไว้ว่า ในวันสิ่งแวดล้อมนี้ อยากให้คนไทยหันมาตระหนักในคุณค่าของศาสนามากขึ้น เพราะนั่นเป็นพื้นฐานที่ทำให้คนขับเคลื่อนตนเองไปทำอะไรที่ดีงามและถูกต้องมากขึ้น จริงๆ เวลาที่คุณทำผิดไม่ใช่หน่วยงานราชกาวหรือผู้รับผิดชอบไม่เห็น เพียงแต่มันเป็นประเด็นเล็กน้อยในสังคมที่จะเอาผิด แต่ทุกคนต้องละอายแก่ใจ ต้องตระหนักด้วยตนเอง ต้องรู้สึกว่าไม่ควรทำ และนั่นจะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และการที่จะทำให้คนคิดเช่นนั้นได้ก็ต้องอาศัยศีลธรรมที่ดี มาร่วมกันดูแลธรรมชาติด้วยการปลูกฝังศีลธรรมที่ดีงามให้แก่ลูกหลาน ร่วมทั้งตัวคุณด้วย เพื่ออนาคตของโลกเรา….
เมื่อศีลธรรมที่ดีงามที่จะเป็นตัวช่วยในการดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าถึง ดังนั้นในวันสิ่งแวดล้อมนี้คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เราจะร่วมกันปลูกฝังและสร้างศีลธรรมที่ดีงามเพื่อจะได้ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้อยู่คู่กับโลกของเราไปให้นานเท่านาน….
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ content www.thaihealth.or.th