เตือนภัยฤดูหนาว ไข้หวัดคุกคามเด็ก

ในช่วงปลายฝนต้นหนาว แม้จะทำให้หลายคนมีความสุข เพราะอากาศเย็นสบาย ไปท่องเที่ยวไหนก็ได้ เพราะสะดวกและสวยงาม ทั้งทะเลและภูเขา แต่สิ่งที่ตามมาในช่วงนี้มากเช่นกันคือโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ ไข้หวัด ที่มักเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน และลุกลามให้กลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบและโรคปอดบวมได้ในที่สุด

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ภาคีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า โรคที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มากคือไข้หวัด ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อของจมูกและคอ ส่วนใหญ่ 75-80% เกิดจากเชื้อไวรัส เมื่อเชื้อเข้าสู่จมูกและคอจะทำให้เยื่อจมูกบวมและแดง มีการหลั่งของเมือกออกมา แม้ว่าจะเป็นโรคที่หายเองใน 1 สัปดาห์ แต่เป็นโรคที่นำเด็กไปพบแพทย์มากที่สุด โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้หวัด 6-12 ครั้งต่อปี และเด็กผู้หญิงเป็นหวัดบ่อยกว่าเด็กผู้ชาย และหากเด็กอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี และยิ่งไปสูดดมควันบุหรี่ ก็ยิ่งจะทำให้โรคดังกล่าวรุนแรงมากขึ้น

ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวว่า สำหรับอาการนั้นจะมีการจามและน้ำมูกไหลนำมาก่อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย แต่มักไม่ค่อยมีไข้ เชื้อจะออกจากทางเดินหายใจของเด็ก 2-3 ชั่วโมง บางรายเยื่อบุตาอักเสบ เจ็บคอ กลืนลำบาก โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน แต่อาจมีน้ำมูกไหลนานถึง 2 สัปดาห์ ในเด็กอาจจะรุนแรง และมักมีการแพร่ไปเป็นหลอดลมอักเสบ ปวดบวม เป็นต้น

โรคนี้มักจะระบาดในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากความชื้นต่ำและอากาศเย็น สามารถติดต่อจากน้ำลายและเสมหะ และคนที่เป็นไข้หวัด นอกจากนั้นมือที่เปื้อนเชื้อโรคก็สามารถทำให้เกิดโรคได้ โดยผ่านทางจมูกและตา ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนเกิดอาการ และ 1-2 วันหลังเกิดอาการ เด็กที่มีโอกาสเป็นไข้หวัดง่ายคือ เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เด็กที่ขาดอาหาร การติดต่อที่พบได้บ่อย

รวมทั้งมือของเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่สัมผัสเชื้อจากเสมหะของผู้ป่วยหรือสิ่งแวดล้อมแล้วขยี้ตา หรือเอาเข้าปากหรือจมูก รวมทั้งหายใจเอาเชื้อที่ผู้ป่วยที่ไอออกมา และหายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศ

ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กบอกว่า สำหรับการรักษา ยอมรับว่าไม่มียารักษาเฉพาะ ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้ para cetamol ห้ามใช้ aspirin รวมทั้งต้องให้ยาช่วยรักษาตามอาการ เช่น ยาลดคัดจมูก ลดน้ำมูก ยาแก้ไออ่อนๆ รวมทั้งให้นอนพักและดื่มน้ำมากๆ เพราะโดยทั่วไปจะเป็นมาก 2-4 วัน หลังจากนั้นจะดีขึ้น ในเด็กโรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือหูชั้นกลางอักเสบ ต้องได้รับยาปฏิชีวนะรักษา

“คนที่เป็นไข้หวัดต้องหลีกเลี่ยงที่ชุมชน เช่น โรงภาพยนตร์ ภัตตาคาร ในช่วงที่ไข้หวัดกำลังระบาด หากไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชูปิดปาก และต้องให้ล้างมือบ่อยๆ ไม่เอามือเข้าปากหรือขยี้ตา เพราะอาจนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ ที่สำคัญอย่าให้เด็กอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นหวัดเป็นเวลานาน

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การป้องกันโรคหน้าหนาว โดยให้ออกกำลังกายอย่างง่ายๆ อาทิ เดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ ขี่จักรยาน เล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง รำมวยจีน หรือแม้กระทั่งการทำงานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นกวาดบ้าน ถูบ้าน

ซึ่งการเริ่มต้นออกกำลังกายนั้นควรเริ่มจากเบาๆ ระยะเวลาน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว จากนั้นจึงเพิ่มความแรงหรือความหนัก และการออกกำลังกายในแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องหนักหรือเหนื่อยมากโดยทำให้รู้สึกหายใจเร็วขึ้น ไม่ต้องถึงกับหอบ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที ก็เพียงพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกัน

ที่สำคัญคือพักผ่อนให้เพียงพอ และกินอาหารประเภทผักและผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง จะมีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคระบบทางเดินหายใจ

“ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงอากาศหนาวเย็นจะทำให้อาหารจับตัวเป็นไข ก่อนบริโภคจึงควรนำไปอุ่นให้ร้อนเสียก่อน จะช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอุณหภูมิความร้อนให้กับร่างกายสามารถคลายหนาวได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้น หากประชาชนดูแลสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และกินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในช่วงหน้าหนาวเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว

การป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้โรคภัยต่างๆ ห่างไกลพวกเรา

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Shares:
QR Code :
QR Code