เตือนกิน `ยาคุม` อาจเป็นอันตรายระยะยาว
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
แฟ้มภาพ
การข้ามเพศจากชายเป็นหญิง หรือหญิงเป็นชายนั้น มีการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน โดยวัตถุประสงค์คือ เพื่อลดฮอร์โมนเพศเดิม และเสริมฮอร์โมนเพศที่ต้องการ ซึ่งฮอร์โมนที่ใช้ในการข้ามเพศจากชายเป็นหญิง เพื่อช่วยปรับรูปร่างและเสียงให้เหมือนผู้หญิง
น.พ.นิพัฒน์ ธีรตกุลพิศาล แพทย์ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวในงานเสวนาระหว่างผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพแก่คนข้ามเพศ กับผู้นำชุมชนคนข้ามเพศ จัดโดยศูนย์สุขภาพชุมชนแทนเจอรีนสภากาชาดไทย เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การข้ามเพศจากชายเป็นหญิง หรือหญิงเป็นชายนั้น มีการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน โดยวัตถุประสงค์คือ
เพื่อลดฮอร์โมนเพศเดิม และเสริมฮอร์โมนเพศที่ต้องการ ซึ่งฮอร์โมนที่ใช้ในการข้ามเพศจากชายเป็นหญิง เพื่อช่วยปรับรูปร่างและเสียงให้เหมือนผู้หญิง มี 3 กลุ่มคือ 1.ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีทั้งชนิดกิน ชนิดฉีด และแผ่นแปะหรือเจล แต่ที่แพทย์ไม่แนะนำให้กิน ได้แก่ อีอี หรือยาคุม เพราะมีผลข้างเคียงต่อหลอดเลือดดำอุดตันและโรคหลอดเลือดหัวใจ และยาคอนจูเกท เอสโตรเจน (Conjugate estrogen) หรือพรีมาริน เพราะวัดระดับยาได้ยาก 2.ฮอร์โมนต้านฤทธิ์แอนโตรเจน เพื่อลดผลของฮอร์โมนเพศชาย ที่ต้องระวังคือ ไซโปรเตอโรน อซิเตท (Cyproterone acetate) เพราะมีข้อกังวลเรื่องผลข้างเคียงต่อตับ และ 3.ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เชื่อว่าเป็นฮอร์โมน สำคัญที่ทำให้เต้านมโตได้ดี แต่บางวิจัยพบว่าผลต่อเต้านมยังไม่ชัดเจน การใช้โปรเจสเตอโรนร่วมกับเอสโตรเจน ในหญิงที่หมดประจำเดือน พบมะเร็งเต้านมสูงขึ้น ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะอาจทำให้เกิดหลอดเลือดดำอุดตัน โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองเพิ่มขึ้น
"แม้จะไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิด แต่หากคนข้ามเพศจากชายเป็นหญิงที่อายุน้อยกว่า 35 ปี ก็ยังใช้ยาคุมกำเนิดเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงได้ ค่อนข้างปลอดภัย เพราะยาที่แนะนำให้กิน คือ 17-เบตา เอสทราดิอัล (17-beta estradiol) เอสทราดิอัล วาเลเรท (Estradiol Valerate) มีราคาค่อนข้างสูง คือ 200-400 บาท และค่อนข้างหาได้ยากในต่างจังหวัด ในเมืองใหญ่ยังพอหาได้ อย่างไรก็ตาม ที่ดีที่สุดควรใช้ฮอร์โมนภายใต้การแนะนำของแพทย์"