เด็กไทยสร้างชื่อเกรียงไกรฤา..ระบบการศึกษาติดลมบน

ความเก่ง ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา

 

เด็กไทยสร้างชื่อเกรียงไกรฤา..ระบบการศึกษาติดลมบน           ระยะนี้มีข่าวคราวเกี่ยวกับเยาวชนไทยไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติบ้านเกิดของตัวเอง ด้วยการคว้ารางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน ชนะเลิศการแข่งขันด้านคณิตศาสตร์บ้าง ฟิสิกส์บ้างดาราศาสตร์บ้าง หรือชีววิทยาบ้าง เห็นแล้วก็ปลื้มแทนพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ เหล่านั้น

 

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีข่าว…

 

          …เด็กประถมศึกษาไทยสุดเจ๋งกวาด 32 เหรียญรางวัลจากการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ ระดับประถมศึกษา Wizard at Mathematics International Competition 2009 (WIZMIC) ที่อินเดียประเภทบุคคล เหรียญทอง 2 รางวัล เหรียญเงิน 10 รางวัล และเหรียญทองแดง 4 รางวัล รางวัลประเภททีม ได้เหรียญเงินทั้ง 4 ทีมรวม 16 เหรียญ และประเภทคะแนนรวมได้อันดับที่ 5, 7, 8 และ 11 จากคู่แข่ง 32 ทีม จำนวน 7 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ซิมบับเว บัลกาเลีย และไทย…

 

          ร้อยทั้งร้อย..ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกว่า เด็กไทยจริงๆ แล้วไม่แพ้ใครในโลก!

 

          แต่สงสัยว่า มีใครๆ ที่ว่าได้ยินหรือได้อ่านข่าวนี้แล้ว คิดแบบเดียวกับผมบ้าง?

 

          คิดและสงสัยอยากรู้อยากได้คำตอบว่า นี่เป็นสัญญาณบ่งบอก หรือเครื่องหมายประกันคุณภาพระบบการศึกษาไทยว่า มีมาตรฐานที่ยอดเยี่ยม สมควรแก่การยอมรับว่า เรากำลังเดินไปอย่างถูกทิศถูกทาง มีความมั่นคงเป็นธงชัยอยู่ข้างหน้าแล้วใช่หรือไม่?????

 

          เมื่อมีคำถามผมก็ต้องหาคำตอบ แม้ว่าผมจะมีสมมุติฐานอยู่ในใจแล้วก็ตาม …เพราะจากการให้ความใส่ใจและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มขับเคลื่อนประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุดในโลกซึ่งมีอาจารย์หมอประเวศ วะสี เป็นแกนนำตัวพ่อนั้น ผมพบแนวคิดที่สอดคล้องต้องกันว่า ก้าวสำคัญหรือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้น่าอยู่ ไม่ว่าจะด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การปลุกจิตสำนึก การสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม การเปิดมุมมองหรือจินตนาการใหม่ให้คนไทยภาคภูมิใจ หรือนับถือตัวเอง และอื่นๆ อีกมากมายนั้น กระบวนการปฏิรูประบบการศึกษาเป็นเรื่องจำเป็นอันดับต้นๆ ที่มองข้ามไปไม่ได้

 

          บุคคลที่จะตอบข้อกังขานี้ได้ดีที่สุด คงไม่พ้น รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ซึ่งติดเครื่องสแกนระบบการศึกษาไทยด้วยความใส่ใจและห่วงใยมาอย่างต่อเนื่อง แถมยังเป็นมือทำงานด้านการศึกษาให้กับเวทีปฏิรูปประเทศไทยของอาจารย์หมอประเวศ วะสี อีกด้วย

 

          “การได้รางวัลเป็นส่วนเล็กๆ ของเด็กจำนวนมากในประเทศไทย ถือเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ความสำเร็จของการศึกษาทั้งหมด”

 

          เป็นคำตอบที่ชัดเจนตามด้วยคำอธิบายที่ชัดแจ้งว่า การแข่งขันใดๆ ในทางการศึกษา หรือด้านกีฬา ดนตรี นอกจากจะนำชื่อเสียงและความภูมิใจมาสู่ตนเองและครอบครัว ตลอดจนประเทศชาติแล้ว สิ่งสำคัญคือ เด็กหรือเยาวชนได้ประสบการณ์ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมจากประเทศต่างๆ และได้เปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้างไกลแต่ค่าเฉลี่ยของเด็กเหล่านี้ นับว่าเป็นตัวเลขที่เล็กน้อยมาก นั่นย่อมหมายความว่า ขณะที่เด็กๆ ส่วนหนึ่งสร้างชื่อเสียงเกรียงไกร ยังมีประชากรเด็กจำนวนมากกว่าที่ยังย่ำอยู่กับระบบการศึกษาแบบเก่าๆ ที่กล่าวกันว่า ให้ความสำคัญกับความเก่งของสมองมากกว่าความสามารถของอารมณ์ หรือเห็นไอคิวมาก่อนอีคิวนั่นแหละ

 

          เหมือนอย่างระบบการจัดการศึกษาไทยในวันนี้ ที่มีการสอบจัดระดับคะแนนไม่ว่าจะเป็น NT O-NET GAT/PAT แม้กระทรวงศึกษาธิการจะระบุว่า เกณฑ์เฉลี่ยสูงกว่าหรือไม่ต่ำกว่า 50% เป็นเรื่องที่น่าพอใจ แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผมไม่ทราบว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่รู้หรือแกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันแน่ว่า คะแนนเฉลี่ยทั้งประเทศที่ตัวเองพึงพอใจในผลงานการเรียนการสอนนั้น หากนำมาเอกซเรย์ให้ละเอียดลงไปในเชิงลึกแล้ว ต้องพบแน่นอนว่า โอเน็ตของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สวนกุหลาบ สตรีวิทยา และโรงเรียนประจำจังหวัดดังๆ จะพุ่งกระฉูดถึง 80-90% ในทางตรงกันข้าม เด็กในโรงเรียนปราศจากชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ ประมาณว่าไม่มีใครแย่งไปสอบเข้า มีแต่คนจะเดินออก และโรงเรียนชนบทห่างไกลความเจริญและศูนย์กวดวิชาต่างๆ นั้น คะแนนเฉลี่ยโอเน็ตอาจจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็เป็นไปอย่างสูง

 

          เมื่อวิธีวัดผล หรือ แนวทางเพื่อหาค่าความสำเร็จของระบบการศึกษาผิดทิศผิดทาง จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า ที่จะบอกว่าระบบการศึกษาไทยเริ่มหมุนวงล้อสู่การปฏิรูปตามที่มีการวางแผนไว้ในทศวรรษที่สองของการปฏิรูปการศึกษาแล้ว

 

          ฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่เรายินดีปรีดากับข่าวเด็กรับ 32 เหรียญแห่งความภาคภูมิใจได้ไม่พ้นอาทิตย์ เราก็ได้เห็นข่าวเด็กนักเรียนมัธยมต้น “แทง” รุ่นพี่ตายในโรงเรียน ด้วยเหตุผลทนต่อการข่มขู่ไม่ไหว ในขณะที่นักจิตวิทยาระบุว่า บ้านและโรงเรียนจะมีส่วนช่วยบริหารจัดการเด็กๆ ที่มีปัญหาด้านอารมณ์

 

          ภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการศึกษาและเยาวชนของชาติในระยะนี้ จึงอดไม่ได้ที่ทำให้ต้องนึกถึงข้อเขียนของ อาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ ที่ผมเคยอ่านและรู้สึกกังวลใจ

 

          เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นคนเก่งแล้วแพ้ไม่เป็น(เป็นเรื่องสัตย์จริง มิได้ต้องการเหน็บแนมใครที่มากเหลี่ยม)

 

          อาจารย์ปูเรื่องถึงการไปโรงพยาบาลชื่อดังของรัฐซึ่งมีสถาบันสอนวิชาแพทย์ด้วยภารกิจส่วนตัวที่มีบางคนในครอบครัวป่วยที่นั่น

 

          ระหว่างการขึ้นลิฟต์ไปเยี่ยมคนในครอบครัว มีนักศึกษารอขึ้นลิฟต์มากมายเฉกเช่นเดียวกับคนป่วยที่มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระใย…เมื่อลิฟต์เปิดไม่มีนักศึกษา เยาวชนอนาคตของชาติคนไหนรอช้า หรือเชื้อเชิญให้โอกาสแก่คนแก่ คนป่วย ขึ้นลิฟต์ไปก่อน แม้กระทั่งอาจารย์หมอคนหนึ่งจะร้องขอแกมสั่งสอนเด็กๆ ให้เผื่อแผ่แก่คนไข้บ้างก็ตาม

 

          บทสรุปของเรื่องนี้คือ ระบบการศึกษาที่เน้นกันแต่เรื่องความเก่ง ก็มิได้หมายความว่าเป็นความสำเร็จของชีวิตที่พึงปรารถนา

 

          หากคนเก่ง ขาดน้ำใจ ปราศจากคุณธรรม ไม่รู้จักแยกแยะความถูกต้อง ความเหมาะสม ควรหรือไม่ควร สังคมนั้นๆ คงไม่อยากมีคนเก่งเยอะสักเท่าไร เพราะสังคมคงจะพัฒนาไปไหนไม่ได้ไกลกว่าเดิมและอนาคตข้างหน้าเราก็คงไม่ได้ยินได้เห็นการรวมกลุ่มหรือระดมสมองของคนไทยในระดับแนวหน้าเฉกเช่นเครือข่ายทางปัญญาที่มีอาจารย์ประเวศ วะสี เป็นผู้ถือธงนำแน่นอน

 

          ระบบการศึกษาที่เน้นและพอใจเพียงคะแนนหรือความเก่งไม่ใช่ทางออกของการปฏิรูปการศึกษาไทยที่พึงปรารถนาแน่นอน

 

          ฉะนั้น ภาคของการปฏิรูปการศึกษายังคงต้องหาคำตอบของโจทย์คำถามร่วมเปลี่ยนประเทศไทยให้น่าอยู่ด้วยการปรับเปลี่ยนองค์ความรู้แก่เด็กและเยาวชนให้หลุดจากกรอบเดิมๆ ให้ได้ และคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง มิเช่นนั้นความเข้าใจผิดว่า “เก่ง” คือดี จะทำลายและกัดกร่อนสังคมไทยทีละเล็กทีละน้อยจนยากจะกู่กลับ

 

          อย่างน้อยที่สุด ข่าวเด็กๆ ที่ไม่ปลื้ม “ติวเตอร์ชาแนล” ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่คิดว่านี่จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กๆ ที่ไม่มีโอกาสไปจ่ายเงินให้กับสถาบันกวดวิชานั้น ก็น่าจะกระตุกให้ผู้บริหารในกระทรวงนี้ได้เข้าใจบ้างว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนเล่นการเมืองรายวันนั้น ไม่เหมาะกับงานการบริหารจัดการการศึกษาของประเทศที่ต้องเป็นวาระแห่งชาติเลย…พับเผื่อย!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

Update 12-11-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code