เด็กมอ…ขอเล่า “ผมสอบตกเลยต้องมาเรียนแก้กับน้องๆ”
ที่มา : เว็บไซต์ครูกล้าสอน kruklasorn.org
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ครูกล้าสอน kruklasorn.org
“ผมสอบตกเลยต้องมาเรียนแก้กับน้อง ๆ มีอยู่คาบนึงอาจารย์เอาทรานสคริปต์ผมขึ้นสไลด์โชว์ให้รุ่นน้องดู ผมนี่แทบมุดหน้าหนี… ผมโกรธที่อาจารย์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมไร้ค่า ผมเป็นคนโง่” นักศึกษาวิศวะปีที่ 8 คนหนึ่ง ในเวที “THE VOICE !!! เด็กมอ…ขอเล่า”
บ่ายวันเสาร์ในห้องเก่าที่คุ้นเคย ห้องประชุมริมน้ำ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับบรรยากาศที่ไม่คุ้นนัก เพราะโดยปกติวิทยากรของนิวสปิริทมักเป็น “ผู้ใหญ่” ที่คร่ำหวอดในแวดวงการเรียนรู้ บ้างก็เป็นกระบวนกรชั้นครู บ้างก็เป็นคนที่ถือว่า “ประสบความสำเร็จ” ในสาขาอาชีพเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง …. แต่รอบนี้วิทยากรมือวางของเรา “เป็นเด็ก” ที่ยังเรียนไม่จบนี่สิ
ก่อนเวทีจะเริ่ม ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นกังวลว่าน้อง ๆ จะพูดแลกเปลี่ยนกันได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า เพราะแต่ละคน “ประสบการณ์ชีวิตยังไม่มากนัก”… ผมคงประเมินน้อง ๆ เหล่านี้ต่ำไป โดยเฉพาะนักศึกษา “ลูกศิษย์” ของบรรดาครูกล้าสอนที่ผ่านการทำงานภายในมาอย่างเข้มข้น… พอเข้าสู่ช่วงเสวนา ทันทีที่นักศึกษาคนแรกจับไมค์พูด ผมรู้ได้เดี๋ยวนั้นว่าเรื่องราวของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าอาวุโสหรืออ่อนวัย ล้วนมีพลังที่ชวนให้ภายในของเราสั่นไหวได้ทั้งนั้น ผมยอมรับอย่างไม่อายว่าตลอด 2 ชั่วโมงของการเสวนาแลกเปลี่ยน ตาผมรื้นด้วยน้ำตาของความเจ็บปวดและปีติปนกันไป บางจังหวะเรื่องราวของน้อง ๆ เรียกเสียงหัวเราะครืนทั่วห้องประชุม แต่กระนั้นผมก็ดูบ้ามากที่หัวเราะได้ทั้งน้ำตา
ทุกเรื่องราวชวนให้ผมคิดถึงแต่ละบทของชีวิตตัวเอง กินใจมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ประสบการณ์ร่วมที่มีกับน้องเจ้าของเรื่อง แต่มีเรื่องหนึ่งในเวทีครั้งนี้ที่โดนใจผมเป็นพิเศษคือ “ความอับอาย” โอ….ผมเข้าใจดีเลยแหละ ความอายชนิดที่อยากให้ธรณีสูบตัวเองให้หายไปจากสายตาของผู้คน รสชาติของการถูกประณามกลาย ๆ ในห้องเรียน และถ้าพูดถึงความอับอาย หนึ่งในสองวิชานอกจากวิชางานฝีมือซึ่งผมได้เคยเล่าไปแล้ว ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่ถ้ามีปรอทวัดความอับอาย คงตีคู่กันมาหรืออาจสูงกว่าวิชางานฝีมือด้วยซ้ำ นั่นคือ วิชาคณิตศาสตร์
ผมต้องยอมรับว่าวิชาคณิตศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่ตัวเองถนัดนัก แต่ก็ใช่ว่าผมกับตัวเลขจะไปกันไม่ได้ตั้งแต่เกิด ที่จริงแล้วผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของผมถือว่าดีมากตั้งแต่ประถมจนถึง ม.3 ซึ่งเป็นระดับชั้นที่เริ่มเรียนตรีโกณมิติ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จำได้ลาง ๆ ว่ามันให้อารมณ์เหมือนเรียนสัญลักษณ์ต่างดาวที่ไม่มีรูปประโยคและหาความหมายไม่ได้ ผมเริ่ม “หลุด” แต่อายเกินกว่าจะถาม และนั่นทำให้กราฟคะแนนค่อย ๆ คล้อยต่ำลง ผมเริ่มกลัวคะแนนสอบ และยิ่งกลัวมากขึ้นเมื่อมันต้องถูกขานให้หูอีก 40 คู่ในห้องได้ยิน
หลังสอบเสร็จทุกครั้ง ผมเฝ้าภาวนาไม่ให้คาบวิชาคณิตศาสตร์มาถึง แต่ใครเล่าจะหยุดเวลาได้ พลันที่ครูประจำวิชาเดินเข้ามาในห้อง ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วน ผมรู้สึกหวิวๆ เหมือนมีลูกโป่งพองลมลอยเต็มท้อง อาหารเที่ยงที่ทานมาจนอิ่มไม่ได้ช่วยเติมกระเพาะแม้แต่ครึ่งในโมงยามแห่งความอัปยศที่กำลังมาถึง เข้าใจว่าเพื่อนๆ คงลุ้นพอๆ กัน เพราะหลังจากทำความเคารพเสร็จ ทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง สายตาทุกคู่ หูทุกข้าง ตั้งใจอยู่กับคนที่ยืนอยู่หน้ากระดานดำชนิดไม่วางตา
“เอาล่ะ… ครูจะประกาศคะแนนสอบจากคาบที่แล้ว บอกเลยว่ารอบนี้มีทั้งคนเต็มและคนตก”… โดยอัตโนมัติ… ผมไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในฟากคนเต็มแน่นอน
กิตติคุณ… ชื่อผมอยู่ลำดับสามของห้อง ตามหลังสองชื่อที่มักทำคะแนนได้สูงเสียด้วย ดังนั้นแทบทุกครั้งกราฟคะแนนจะเชิดหัวขึ้นสองสเต็ปก่อนที่จะร่วงลงหุบเหวที่ชื่อของผม และค่อย ๆ เชิดหัวขึ้นอีกครั้งเมื่อชื่อหลัง ๆ ตามมา ผมรู้สึกเหมือนหล่นไปกองอยู่ก้นเหว ณ ที่ที่คะแนนของผมถูกฝังไว้พร้อมกับความมั่นใจในตัวเอง ผมรู้สึกตัวลีบเล็ก และคงจะดีถ้ามันเล็กพอที่จะทำให้ผมแทรกตัวไปหลบในร่องกระเบื้องได้
เสียงปรบมือเป่าปากดังกระหึ่มเมื่อชื่อที่ได้รับคะแนนเต็มถูกขานออกมา แต่นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกพ่ายแพ้ของผมราบคาบ ชัดเจนขึ้น
เอาล่ะ กลับมาที่เวทีเปิดตัวโครงการฯ แม้มีหลายเรื่องจากหลายคนที่โดนใจ แต่ผมรู้สึก “โดนอย่างจัง” กับเรื่องราวของนักศึกษาวิศวะปี 8 ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งย่านนครปฐม เรื่องราวของนักสู้ที่ไม่ยอมจำนนต่อคำสบประมาท การตั้งคำถาม และเสียงล้อเลียนความเป็นวิศวะฯ ปี 8 ของเขา นักศึกษาคนนั้นเล่าถึงประสบการณ์ที่น่าอับอายในชั้นเรียนด้วยท่าทีคับแค้นปนน้อยใจว่า “ผมสอบตกเลยต้องมาเรียนแก้กับน้อง ๆ มีอยู่คาบนึงอาจารย์เอาทรานสคริปต์ผมขึ้นสไลด์โชว์ให้รุ่นน้องดู ผมนี่แทบมุดหน้าหนี… ผมโกรธที่อาจารย์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมไร้ค่า ผมเป็นคนโง่” แม้จะอับอายเพียงใดแต่นั่นยิ่งทำให้นักศึกษาคนดังกล่าวอยากพิสูจน์ให้คนที่ปรามาสเขาเห็นว่า “พวกมึงคิดผิด” ปุ๋ยดินเป็นอาหารหล่อเลี้ยงไม้ดอกให้งอกงามฉันใด คำสบประมาทก็เป็นอาหารให้จิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ของเขาฉันนั้น เขาเชื่อเสมอว่าสักวันตัวเองต้องประสบความสำเร็จ ตัวเองต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมจนเป็นที่ยอมรับได้ เพื่อนร่วมเวทีฯ ซึ่งเป็นรุ่นน้องปี 7 ที่เรียนตามกันมาติด ๆ เล่าติดตลกว่า “พี่แกจะบ้า ๆ หน่อย เวลาว่าง แกชอบชวนคิดโปรเจกค์ทำธุรกิจ เอานั่นเอานี่มาขาย…. เวลาอยู่ด้วยกันพวกเราเหมือนคนบ้าอยู่กับคนติสแตก” แม้คำพูดจะติดตลก แต่แววตาที่จริงจังของทั้งคู่ทำให้ผมสัมผัสได้ว่าพวกเขาจริงจังกับความฝันของตัวเองแค่ไหน
แม้จะเข้มแข็งเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ย่อมมีบ้างที่รู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง ผลคะแนนครั้งหลังสุดทำให้นักศึกษาในปีสุดท้ายอย่างเขาเกือบยอมแพ้และสิ้นศรัทธาในสถาบัน กระทั่งได้มีโอกาสพบกับอาจารย์นงลักษณ์ (ครูกล้าสอนรุ่น 1) กับคาบเรียนที่แตกต่าง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวิชาเรียนในคณะวิศวะฯ จะมีชีวิตชีวาได้เพียงนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการที่เพื่อน ๆ ในห้องได้พูดคุย ทำความรู้จัก ฝึกการรับฟัง และช่วยกันแก้ไขปัญหาทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว จะทำให้เขารู้สึกคิดถึงห้องเรียนนี้ถึงขนาดที่ยอมขับรถจากกรุงเทพไปนครปฐม ทั้งที่เรียนจนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน หนำซ้ำคาบเรียนดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในอีกเพียง 1 ชั่วโมงข้างหน้า “จริง ๆ แล้วเราจะโดดเรียนไปหาอะไรกินก็ได้ กรุงเทพมีที่ให้เถลไถลเยอะแยะ แต่เรารู้ว่าถ้าเราไปห้องเรียนนั้น เราจะได้พลังบวกกลับมาแน่นอน ไม่มีทางลบ ยังไงเราก็ต้องไป” เขาพูดอย่างมั่นใจ “มันเหมือนกับเราไปพักผ่อน ไปเที่ยว ไปเจอคนที่เราอยากเจอ มันได้พลังอย่างงั้นเลย” รุ่นน้องร่วมเวทีกล่าวเสริม
ผมมั่นใจว่าความอับอายพ่ายแพ้ ทำให้นักศึกษาท่านนั้นรู้ซึ้งถึงอีกรสชาติของความเป็นมนุษย์ เขารู้ว่ารสชาติมันช่างแตกต่างจากความเห็นอกเห็นใจ และความเข้าใจที่เขาได้รับจากอาจารย์ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เจ็บได้ร้องไห้เป็น ไม่ใช่ “อาจารย์” ที่ดูภูมิฐานสมบูรณ์แบบ ถูกตามตำราค่านิยม แต่จ้องมองเขาด้วยสายตาแห่งการประเมินและพิพากษา
หลังจบเวทีฯ ผมเห็นเขาและเพื่อน ๆ ยืนกอดและถ่ายรูปร่วมกับอาจารย์ของตนที่ปกติใบหน้าท่าทางใจดีเหมือนหมียิ้มได้ แต่ตอนนี้ใบหน้าของอาจารย์เต็มไปด้วยคราบน้ำตาแห่งความยินดี เหมือนคุณยายได้เจอหลาน ๆ ในงานรวมญาติยังไงยังงั้น ช่างเป็นภาพที่อบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ผมดีใจแทนน้อง ๆ และคิดถึงวันข้างหน้าที่พวกเขาจะออกไปใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัยอย่างคนที่เข้าใจโลก อย่างคนที่รู้ว่าตัวเองคือใคร ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ อย่างคนที่มีความสุขในชีวิตตามแบบของตัวเอง นี่เองทำให้ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การศึกษาไม่ควรเป็นอะไรเลย นอกจากการทำให้มนุษย์เข้าใจความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น… ก่อนจะเคี่ยวเข็ญให้ผู้เรียนได้เป็นหมอ วิศวะ นักบัญชี หรืออื่น ๆ มันคงจะดีมาก หากการศึกษาได้ช่วยให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์คนหนึ่งเสียก่อน