เดิน-วิ่งสมาธิที่บ้าน ต้านโควิด-19
เรื่องโดย ปัญจวรา บุญสร้างสม Team content www.thaihealth.or.th
ให้สัมภาษณ์โดย อาจารย์ณรงค์ เทียมเมฆ ผู้ทรงคุณวุฒิแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ภาพโดยชยวี ลิ้มถาวรรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
แม้บรรยากาศวันหยุด และเทศกาลสำคัญต่างๆ ในปีนี้อาจจะผ่านไปอย่างไม่ครึกครื้น สนุกสนานเท่าไรนัก แต่วัน สำคัญวันหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อพุทธศาสนิกชนอย่าง “วันวิสาขบูชา”นั้น ก็ไม่ได้ถูกเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด กิจกรรมต่างๆ ที่ชาวพุทธยึดถือปฏิบัติเพื่อระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงดำเนินไปอย่างเหมาะสม เชื่อว่าชาวพุทธหลายท่านคงเตรียมสวดมนต์ ไหว้พระอยู่ที่บ้าน หรือตระเตรียมอาหารคาวหวาน ไว้ใส่บาตร พระสงฆ์ หรือบางคนอาจตระเตรียมข้าวของสำคัญหรือทุนทรัพย์ไว้เพื่อร่วมบริจาคสมทบทุนสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กิจกรรมหนึ่งที่ถูกจัดต่อเนื่องในวันวิสาขบูชามาเป็นระยะเวลายาวนานเกือบ 20 ปี ก็ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อสนับสนุนให้พุทธศาสนิกชนทุกท่านได้ฝึกร่างกายและจิตใจให้มั่นคงไปพร้อมๆกัน ซึ่งกิจกรรมนั้น คือ “การวิ่งสมาธิ วิสาขะ พุทธบูชา”
อาจารย์ณรงค์ เทียมเมฆ ผู้ทรงคุณวุฒิแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า กิจกรรมวิ่งสมาธิ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 แล้ว โดยมี ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม เป็นผู้ริเริ่มโครงการ ภายใต้การดำเนินงานของสมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย โดยการสนับสนุนของ สสส. ซึ่งปีนี้ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของการจัดกิจกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐ ในการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาด ของโควิด-19 โดยใช้รูปแบบ Virtual Run – Social Distancing เชิญชวนให้นักวิ่งแชร์ภาพพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ การทำกิจกรรมทางกายต่างๆ ภายในบ้าน หรือบริเวณบ้านของตนเองด้วยการครองสติผ่านหน้าแฟนเพจ "วิ่งสมาธิ" ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นการวิ่ง แต่เป็นกิจกรรมใดก็ได้ที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจเป็นการเดินขึ้น-ลงบันได การ ทำงานบ้านง่ายๆ อย่างเช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า หรือรดน้ำต้นไม้ เป็นต้น
นอกจากนี้ทางโครงการยังมีของที่ระลึกสำหรับผู้สมัครเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เป็น เสื้อคอกลมพิมพ์ลายภาพลิขสิทธิ์ อาจารย์ จักรพันธุ์ โปษยกฤต พร้อมพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร(หลวงพ่อทองคำ) และหน้ากากอนามัยจัดส่งตรงถึงบ้าน และจะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดกิจกรรมไปซื้อเครื่องช่วยหายใจให้กับโรงพยาบาลทรวงอกอีกด้วย
อาจารย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้กลับมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ไม่ว่า จะเป็นการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หรือการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะสามารถฝึกสติ อยู่กับปัจจุบัน และทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้อย่างมีสมาธิมากขึ้น
อาจารย์ณรงค์ ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ว่า สังคมไทยมีความโชคดีหลายเรื่อง เช่น คนไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา ซึ่งพุทธศาสนาก็มีหลักธรรมสำคัญหลายข้อที่สามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้ทุกสถานการณ์ เช่น หลักไตรสิกขา อันประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งถ้าหากเรามีศีล เราก็จะเคารพกฎหมาย เคารพข้อกำหนดต่างๆ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ถ้าหากเรามีสมาธิ เราจะมีสติ ตระหนักรู้ถึงอันตราย และวิธีการป้องกันโรค ไม่ตื่นตระหนก หรือกลัวจนเกินเหตุ รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ ไม่พาตัวเองไปอยู่พื้นที่เสี่ยง รู้จักควบคุมพฤติกรรม ของตัวเองให้เหมาะสม และถ้าหากเรามีปัญญา เราก็จะรู้ว่าควรต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น ต้องใส่หน้ากากอนามัย ล้าง มือบ่อยๆ อยู่ห่างผู้คน 1-2 เมตร เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีหลักธรรมอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมได้ เช่น พรหมวิหาร 4 อันประกอบ ไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เราจะมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นคุณค่าในชีวิต เลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้ด้วยกัน
สสส.มีภารกิจหลักในการสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และปัญญา นำไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และใช้ศักยภาพของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม ซึ่ง กิจกรรมวิ่งสมาธินี้ ก็เป็นกิจกรรมที่เน้นความสัมพันธ์ของร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ถือเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ง่าย ๆ และเป็นประโยชน์อย่างมาก ซึ่งแม้ในปีนี้โครงการจะปิดรับสมัครไปแล้ว แต่ทุกคนก็สามารถทำกิจกรรมต่างๆอย่างมีสติ เพื่อฝึกฝนร่างกายและจิตใจภายในบ้านของตนเองได้ โดยสามารถติดตามแนวทางการปฏิบัติได้ที่ Facebook fan page: วิ่งสมาธิ Running: Living in the Moment…https://www.facebook.com/runninginthemoment/
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน หากเรายังเชื่อมั่นในศักยภาพ และความเข้มแข็งของคนไทยทุกคน เป็นพลังให้แก่กันและกัน ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี และสนับสนุนการทำหน้าที่เป็นด่านหน้าของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างดีที่สุด เราจะต้องผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน