เครือข่ายงดเหล้าหนุน สธ. เจาะเลือดตรวจเมาแล้วขับ

ที่มา : มติชนออนไลน์ 


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


เครือข่ายงดเหล้าหนุน สธ. เจาะเลือดตรวจเมาแล้วขับ thaihealth


เครือข่ายงดเหล้าหนุน สธ. เจาะเลือดตรวจเมาแล้วขับอุบัติเหตุทุกราย


เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) พร้อมด้วยเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กว่า 30 คนเดินทางมายังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อยื่นหนังสือถึง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข พื่อสนับสนุนมาตรการเจาะเลือดวัดแอลกอฮอล์ในอุบัติเหตุทุกราย พร้อมให้กำลังใจ สธ.ยืนหยัดตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 หลังมีกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วิ่งเต้นขอแก้กฎหมาย เพื่อเปิดทางให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างเสรีมากขึ้น โดยมี นพ.โสภณ เมฆธน ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข (สธ.) เป็นตัวแทนรับหนังสือ


ภก.สงกรานต์กล่าวว่า เครือข่ายมาเพื่อต้องการสนับสนุนภาครัฐบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รวมถึงการรณรงค์เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ จึงสนับสนุนมาตรการเจาะเลือดเพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์กับผู้ประสบอุบัติเหตุจราจรทางถนนทุกราย เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดปัญหาหลายรายไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจวัดแอลกอฮอล์ และใช้ช่องว่างของกฎหมายที่จะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ตรวจ เพราะฐานโทษความผิดจะสูงกว่า โดยหากทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลมีสิทธิพักหรือถอนใบอนุญาตขับรถได้อีกทั้งช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา สธ.มีนโยบายนำร่องสนับสนุนให้สถานพยาบาลของรัฐในสังกัด สธ.ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ที่ประสบอุบัติเหตุทางถนน โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งหนังสือมาที่สถานพยาบาลเพื่อเจาะเลือดส่งตรวจวิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ หากพบว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมีค่าเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาสุรา


มาตรการดังกล่าวถือว่ามีความก้าวหน้าในทางนโยบาย ส่งผลต่อการป้องปรามผู้ขับขี่และลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วยถ่วงดุลการทำงานระหว่างสาธารณสุขและตำรวจ หลังพบพวกหัวหมอเมาแล้วขับแต่ไม่ยอมเป่า กลับพยายามวิ่งเต้นขอเคลียร์ผู้ใหญ่ เชื่อว่ามาตรการนี้จะปิดช่องตำรวจชั้นผู้น้อยถูกขอจากกรณีเมาแล้วขับได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่าที่มีความพยายามของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วิ่งเต้นขอแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เพียงเพื่อให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค้าขายได้มากขึ้น มอมเมาได้มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับจุดยืนของ สธ.และภาคีเครือข่ายที่พยายามลดผลกระทบ ลดความสูญเสียจากน้ำเมา” ภก.สงกรานต์กล่าว


เครือข่ายงดเหล้าหนุน สธ. เจาะเลือดตรวจเมาแล้วขับ thaihealth


ภก.สงกรานต์ กล่าวว่า สำหรับจุดยืนและข้อเสนอต่อ สธ. คือ 1.ขอสนับสนุนมาตรการเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ที่ประสบอุบัติเหตุทางถนนทุกรายในช่วงเทศกาลปีใหม่ และควรเป็นมาตรการที่ดำเนินการตลอดทั้งปี มีการกำหนดงบประมาณและแนวปฏิบัติงานให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมต่อเนื่อง ที่สำคัญข้อมูลที่ได้จะยืนยันถึงความสูญเสียในอุบัติเหตุจราจรทางบก ซึ่งมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญ เพื่อเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการแก้ปัญหาให้ตรงจุดต่อไป 2.ขอให้กำลังใจ สธ.ในการยืนหยัดตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ไม่โอนอ่อนตามแรงกดดันของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กำลังพยายามวิ่งเต้นให้มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เพียงเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง และขอให้กำลังใจในการทำหน้าที่ลดปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเต็มกำลัง และ 3.ภาคีเครือข่ายซึ่งเป็นพันธมิตรกับกระทรวงสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน ยินดีสนับสนุน มีส่วนร่วม เฝ้าระวัง และทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทย


นพ.โสภณกล่าวว่า การลดอุบัติเหตุเป็นนโยบายที่ สธ.เร่งรัดดำเนินการ ที่ผ่านมามีการรณรงค์ประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ ส่วนการวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ประสบอุบัติเหตุนั้น เป็นความร่วมมือระหว่าง สธ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยที่ผ่านมามีการตรวจเลือดวัดระดับแอลกอฮอล์ในช่วงสงกรานต์ 2560 โดยมีการเจาะเลือดตรวจประมาณ 700 ราย พบว่า กว่าครึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ส่วนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก สสส.ในการดำเนินงาน 1.4 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถตรวจได้ประมาณ 1,000 ราย ซึ่งการตรวจเลือดจะตรวจในรายที่เกิดอุบัติเหตุและตำรวจประสานร้องขอให้ตรวจ ซึ่งตรวจได้ทั้งในผู้ป่วยและอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิต โดยหลักการจะต้องตรวจภายใน 4 ชม. เนื่องจากทุก 2 ชม.ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลง อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานดังกล่าวไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายแต่อย่างใด

Shares:
QR Code :
QR Code