เข้ม! ขายยาหวัดสกัดปั๊มยาบ้า

หลังพบวัยรุ่นผสมแอลกอฮอล์เสพ

 

 เข้ม! ขายยาหวัดสกัดปั๊มยาบ้า

          อย. พบขบวนการค้ายาเสพติดลักลอบตระเวนซื้อยาแก้หวัด – อัลฟาโซแลม ไปสกัดสารทำยาบ้าส่งต่างประเทศ สั่งคุมเข้มร้านขายยา ล้อมคอกบริษัทยาทำแพ็คเกจใหม่ ส่งขายแบบแผงแทนเป็นเม็ด ราคาอาจแพงขึ้น ส่วน รพ.ขายยกขวดเหมือนเดิม ขอเวลา 1 – 2 เดือน หากขาดตลาด สกัดไม่ได้ผลขึ้นบัญชียาควบคุมพิเศษต้องแพทย์สั่งจ่าย

 

          คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตรียมควบคุมยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสารสูโดเอฟรีดีน (pseudoephedrine) หลังพบเริ่มมีการลักลอบนำไปเป็นสารผลิตยาบ้า ทั้งนี้ ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการ อย. เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ถึงการเฝ้าระวังว่ามีการควบคุมบริษัทผู้ผลิตยาที่สั่งนำเข้ายาแก้หวัดที่มีสารสูโดเอฟรีดีน รวมถึงให้รายงานยอดการจำหน่ายยาทุกครั้ง เพื่อให้ทราบว่ามีเส้นทางซื้อขายที่ถูกต้องหรือไม่

 

          ที่ผ่านมา อย.ตรวจพบว่าผู้ผลิตบางรายแจ้งข้อมูลเท็จ อ้างว่ามีการจำหน่ายยาดังกล่าวจำนวนมากให้กับคลีนิค และร้านขายยาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แต่เมื่อ อย. ตรวจสอบไปยังร้านขายยาและคลีนิคที่ถูกกล่าวอ้าง กลับพบว่าไม่มีการสั่งยาดังกล่าวมาจำหน่ายแต่อย่างใด

 

          “ทั้งนี้ ยาแก้หวัดมี 2 ประเภท คือ ชนิดที่เป็นยาสูโดเอฟรีดีน 100% ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น แต่หากเป็นยาสูตรผสม หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปแต่ต้องไม่เกินครั้งละ 60 เม็ด อย. สั่งการให้เจ้าหน้าที่แต่ละจังหวัดตรวจสอบอย่างเข้มข้น หากมีการสั่งยาทั้ง 2 ชนิดไปขายในพื้นที่ในปริมาณที่ค่อนข้างสูงก็ให้รีบเช็คข้อเท็จจริงว่านำยาไปใช้ในลักษณะใด มีการแอบลักลอบนำไปผลิตเป็นยาบ้าหรือเสพเป็นยาเสพติดหรือไม่

 

          ภญ.วีรวรรณกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องนำยาคลายเครียดหรืออัลฟาโซแลมไปผสมแอลกอฮอล์เพื่อเสพ ทำให้รู้สึกสนุกสนาน เคลิบ เคลิ้ม มึนงง เวียนศีรษะ ไม่รู้สึกตัว เพราะประสาทส่วนกลางถูกกด เช่นเดียวกับการนำยาแก้ไอหรือยาลดน้ำมูกไปผสมกับเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์แล้วดื่ม ซึ่งเดิมเคยตรวจพบเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นภาคใต้ แต่ปัจจุบันมีการตรวจพบส่งขึ้นไปยังพื้นที่ภาคเหนือมากขึ้น

 

          ภก.วินิต อัศวกิจวีรี ผู้อำนวยการกองควบคุมยา กล่าวว่า อย. ประสานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ให้เฝ้าระวังปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติด โดยเฉพาะการตระเวนซื้อยาแก้หวัดเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ โดยนำไปสกัดสารบางชนิดไปเป็นส่วนผสมยาบ้า

 

          ที่ผ่านมา มีการจับกุมครั้งใหญ่มาแล้ว โดยนำยาแก้หวัดที่ตระเวนซื้อส่งออกไปจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย เพราะสารในยาแก้หวัดมีสรรพคุณออกฤทธิ์ กระตุ้นประสาท ประกอบมีราคาถูก ราคาต้นทุนเม็ดละ 30 สตางค์ หรือ 1 ขวด มียา 1,000 เม็ด ราคา 300 กว่าบาทเท่านั้น ที่สำคัญวิธีสกัดสารออกจากยาก็ทำได้ง่าย ใช้วิธีละลายเท่านั้น

 

          “ในการแก้ปัญหาเบื้องต้น อย. ประชุมร่วมกับบริษัทผู้ผลิตยา และผู้จำหน่ายยาทั้งส่งและปลีก ขอความร่วมมือให้จัดทำบรรจุภัณฑ์ยาแก้แพ้และยาแก้หวัดสำหรับร้านขายปลีกทั่วไปใหม่ ซึ่งจากเดิมจะขายเป็นเม็ด หรือขายยกขวด ให้เปลี่ยนขายเป็นแผงแทน แต่จะทำให้ยามีราคาแพงขึ้น ส่วนการขายให้สถานพยาบาลต่างๆ ให้ขายยกขวดตามปกติ ที่สำคัญให้ระมัดระวังหากมีผู้มาซื้อยาแก้หวัดจำนวนมากจนผิดปกติ ให้แจ้งเบาะแสมายัง อย. หรือ ป.ป.ส. ได้ทันที และไม่ควรขายยาให้กับคนเหล่านี้

 

          ภก.วินิตกล่าวว่า หากภายใน 1 – 2 เดือนนี้ ปัญหาการลักลอบซื้อยาแก้แพ้และแก้หวัดไปผลิตยาบ้าระบาดหนักขึ้น จนทำให้ยาขาดตลาดทำให้ผู้ป่วยไม่มียารับประทาน อย. จะพิจารณาเพิ่มการควบคุมโดยกำหนดให้เป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายยาเท่านั้น จากเดิมที่เป็นเพียงยาอันตราย ซึ่งไม่มีการควบคุม ประชาชนสามารถซื้อยาได้จากร้านขายยาทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวกับต่างประเทศ

 

          ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการใช้ยาแก้แพ้และยาแก้หวัดในประเทศไทย คิดเป็นมูลค่า 600 ล้านบาทต่อปี จากรายการยาที่มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาและจำหน่ายในท้องตลาดกว่า 100 รายการ

 

          ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 13.30 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารยก พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.วรพงศ์ ชิวปรีชา ผบ.ชน. พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ว่า ในวันที่ 18 มีนาคม นายกรัฐมนตรีจะมอบนโยบายให้กับส่วนราชการต่างๆ ที่จะเข้ามา บูรณาการแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

 

          จากนั้นแต่ละส่วนจะไปเปิดยุทธการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย มีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เป็นศูนย์อำนวยการประสานแผนปฏิบัติการ มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็น ผอ.รมน. จังหวัด

 

          “สำหรับผมจะประชุมหัวหน้าสถานีตำรวจทั่วประเทศในวันที่ 20 มีนาคมนี้ และจะประเมินผลกันทุกเดือน โดย 6 เดือนแรก จะมารายงานกับประชาชนว่าสามารถป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมากน้อยแค่ไหน ยืนยันว่าจะเคารพสิทธิของประชาชน ไม่ล่วงละเมิด ทุกอย่างจะทำภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่มีการอุ้มฆ่า หรือฆ่าตัดตอน” รองนายกฯ กล่าว

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

 

 

update 18-03-52

 

Shares:
QR Code :
QR Code