อาสาสร้างสุข
ที่มา : มติชน
ภาพประกอบจาก สสส.
เสริมพลัง-สร้างภูมิคุ้มกันเพราะ 1,000 วันมหัศจรรย์ สำคัญต่อเด็กขาดโอกาส
ว่ากันว่า 1,000 วันแรกของชีวิต คือช่วงเวลาที่มีความหมายและสำคัญยิ่ง เพราะคือช่วงเวลาแห่งพัฒนาการ ไม่ว่าจะทางกายภาพ พฤติกรรม หรืออารมณ์ แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อย ที่ขาดผู้ดูแลเอาใจใส่ให้ได้รับความอบอุ่น ไปจนถึงขาดคนกระตุ้นพัฒนาการ อันจะสร้างภูมิคุ้มกันให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยในโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ใน "สถานสงเคราะห์"
"เด็กในสถานสงเคราะห์ต้องการบรรยากาศครอบครัว แม้ระบบในสถานสงเคราะห์ฯ จะเตรียมทุกอย่างไว้ เช่น อาหาร เสื้อผ้า แต่เด็กๆ ยังต้องการคนสอนการบ้าน และต้องการเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ เพื่อไปสู่สังคม แต่เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอที่จะดูแลเด็กได้ทั่วถึง โดยเฉพาะเด็กในช่วง 1,000 วัน ที่ถือว่าเป็นวัยทองคำของชีวิต" คำกล่าวของ ศิรทิพย์ ภาศรีสมบัติ ผอ.กองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว ยิ่งย้ำให้เห็นถึงความสำคัญว่าเด็กหนึ่งคน จำเป็นต้องมี "แม่"
เมื่อไม่นานมานี้ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด จ.นนทบุรี มูลนิธิสุขภาพไทย ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรม "วันคนอาสาสร้างสุขและเปิดบ้านเยี่ยมชมแหล่ง (ศูนย์) เรียนรู้" เพื่อส่งเสริมจิตอาสาและจุดประกายคนรุ่นใหม่ ให้หันมาร่วมส่งมอบความสุขและส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ กับเด็กที่ขาดโอกาสในสถานสงเคราะห์ โดยเปิดเวทีพูดคุย พร้อมมอบเหรียญยกย่องเพื่อเป็นกำลังใจให้อาสาสมัครสร้างสุข
วีรพงษ์ เกรียงสินยศ เลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย เปิดเผยว่า การส่งเสริมกิจกรรมอาสาสมัครในสถานสงเคราะห์ มีเป้าหมายเพื่อมอบความสุขและส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ให้กับเด็กที่ขาดโอกาส โดยริเริ่มที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนบ้านปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นแห่งแรก ด้วยการนำความรู้ด้านการนวดสัมผัสเด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ มาอบรมให้อาสาสมัคร ก่อนจะขยายงานอาสาสมัครไปยังสถานสงเคราะห์อื่นๆ ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ
"ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา มีอาสาสมัครผลัดเปลี่ยนมาดูแลเด็กมากกว่า 2,000 คน มีทั้งอาสาสมัครระยะสั้น และระยะยาว บางคนอยู่นานถึง 10 ปี และจากการติดตามผลทั้งเด็กเล็ก เด็กโต และเด็กพิเศษที่มีพี่อาสานั้น จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งกายภาพ และพฤติกรรมทางอารมณ์"
ด้าน สรียา สุกจั่น ผู้ช่วยผู้ปกครองบ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด กล่าวเสริมว่า ศูนย์เรียนรู้อาสาสมัครดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์ ไม่ได้มีเฉพาะอาสาสมัครมาดูแลเด็กเท่านั้น แต่ยังมีอาสาสมัครล้างของเล่น ซ่อมจักรยาน ซึ่งมีกระบวนการคัดกรองผู้มาสมัคร มีบันทึกประวัติ อบรมให้ความรู้เพื่อให้มีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการเด็ก โดยการดูแลเด็กเล็ก 3-5 ขวบ จะให้อาสาสมัครพาไปอาบน้ำ ป้อนข้าว แต่งตัว เน้นให้เด็กทำด้วยตัวเอง รวมทั้งพาไปทัศนาจรนอกบ้าน ช่วยให้เด็กได้รู้จักสังคมภายนอก
ทาง ณัฐยา บุญภักดี ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. บอกว่า การทำงานของอาสาสมัครหากมองภาพใหญ่ ก็คือการสร้างคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยศักยภาพสู่สังคม
"ปัจจุบันตัวเลขของเด็กที่มาสู่สถานสงเคราะห์เฉลี่ยปีละ 5,000-6,000 คน ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะอัตราการเกิดน้อยลง แต่มีปัญหาใหม่ คือเด็กต้องถูกส่งมาสถานสงเคราะห์เพราะครอบครัวยากจนเพิ่มขึ้น แสดงถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม อย่างไรก็ตาม การทำงานอาสาสมัครตลอด 10 ปี สสส.ได้ถอดบทเรียนของการทำงานจิตอาสาที่ต้องทำงานเป็นทีม มีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เดินหน้าเน้นให้ความสำคัญของ 1,000 วันแรกของชีวิต ที่เทียบกับการตอกเสาเข็มให้ชีวิต"
"จากผลการศึกษานานาชาติระบุว่าช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต เด็กต้องมีแม่เป็นผู้ใหญ่ 1 คนในชีวิตจริง จะเป็นใครก็ตาม พร้อมกับการ กระตุ้นพัฒนาการ เด็กจะรับรู้ถึงความรักที่มั่นคง ชีวิตจะต่อยอดได้ แต่ถ้าแม่มาไม่ต่อเนื่องทำให้โตขึ้นเด็กไม่มีความมั่นใจ มีความพร่อง และอาจกลายเป็นหลุมดำของชีวิต" ณัฐยาเผย
สำหรับอาสาสมัคร อย่าง มนัฐนันท์ คงคาหลวง หรือ "จูน" ในวัย 40 ปี คือพี่เลี้ยงบ้านเด็กนนทภูมิมากว่า 6 ปีจูนเล่าว่า ปกติทำงานประจำอยู่ที่ จ.ระยอง ทุกเสาร์อาทิตย์จะกลับมาบ้านที่ จ.นนทบุรี และจะมาเป็นอาสาสมัครที่บ้านนนทภูมิ ซึ่งตัวเองเรียนจบจิตวิทยาเด็กมา จึงอยากนำความรู้มาช่วยเหลือเด็กๆ เพราะบางคนอายุเยอะแต่ร่างกายเหมือนเด็ก บางคนแขนขาลีบ ขณะที่บางคนมีโอกาสได้ไปเรียนข้างนอก เราจะช่วยติวให้ สอนเรื่องการเข้าสังคม เพราะน้องอยู่ในบ้านฯ เคยเป็นผู้รับ แต่ไม่ได้เรียนรู้การให้
"คนมาเป็นจิตอาสามีหลากหลายอาชีพ เป็นครู เป็นพยาบาล ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ อยากเห็นเด็กๆ มีพัฒนาการที่ดี มีรอยยิ้มที่สดใส แววตาแห่งความสุขของพวกเขาทำให้เราเองพลอยสุขใจ และทิ้งชีวิตเครียดๆ ลงได้ และอีกสิ่งสำคัญที่ได้จากการเป็นอาสา คือการฝึกความอดทน อดกลั้นของตัวเอง เพราะการดูแลเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย ประสบการณ์เหล่านี้สอนให้เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปด้วยเหมือนกัน"
เพราะการให้จากอาสาสมัคร คือพลังที่จะช่วยกล่อมเกลากลุ่มผู้ขาดโอกาสในประเทศไทย ให้ลึกซึ้งกับคำว่า "รัก" และ "ปลอดภัย"