อากาศ 5 จว.ภาคเหนือพบสารก่อมะเร็งเพิ่มเกือบ 3 เท่า

นักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เผยผลวิจัยคุณภาพอากาศ 5 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะเด็กนักเรียนประถมและผู้ปกครองไปตรวจในห้องปฏิบัติการพบมีสารก่อมะเร็งปนเปื้อนสูงกว่าในเมือง 3.5 เท่า ขณะที่ความเป็นพิษเพิ่มสูงกว่าเมื่อ 5 ปีก่อน 2.8 เท่าเชื่อมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกิดจากการเผา จี้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งวางแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาจริงจัง หวั่นส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมแกรนด์วิวเชียงใหม่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดการสัมมนาเพื่อขยายผลการวิจัยเรื่อง “มลพิษหมอกควันกับสุขภาพของคนในภาคเหนือตอนบน:อันตรายและทางออกสำหรับทุกคน” ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยเรื่อง”การขยายผลการวิจัยมลพิษทางอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพสู่ชุมชน เพื่อการเรียนรู้และลดแหล่งกำเนิดฝุ่นในอากาศในชุมชนภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุวัฒน์จริยาเลิศศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยจริยาเลิศศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาหมอกควันของ จ.เชียงใหม่และภาคเหนือตอนบนว่า ภาพรวมสถานการณ์ปัญหาในปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถือว่าดีกว่า ซึ่งปัจจัยอาจจะเป็นผลมาจากการที่มีฝนตกลงมา รวมทั้งความชื้นในอากาศที่มีมากกว่าและมีกระแสลมพัดผ่าน

ทั้งนี้ หากแนวโน้มสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ไปจนถึงช่วงสิ้นเดือนมี.ค. เชื่อว่าในปีนี้ไม่น่าจะมีปัญหารุนแรงถึงขั้นวิกฤตแต่ทั้งนี้แม้ภาพรวมจะถือว่าดีแต่พบว่าพื้นที่ในเขตชนบทหรือนอกเมือง ยังคงมีการเผาในที่โล่งที่เป็นสาเหตุของปัญหาอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะต้องเร่งป้องกันแก้ไขโดยเร็ว

ขณะเดียวกัน รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุวัฒน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา นักวิจัยของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพได้ทำการวิจัย โดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะของเด็กนักเรียนและผู้ปกครองในพื้นที่ภาคเหนือไปตรวจหาสารตกค้าง พบว่ามีสาร pahs (polycyclic aromatic hydrocarbons) ที่เป็นสารที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โดยในเด็กนักเรียนและผู้ปกครองที่อยู่นอกเมือง พบว่า มีสารดังกล่าวในปัสสาวะสูงกว่าเด็กนักเรียนและผู้ปกครองที่อยู่ในเมือง ซึ่งสอดคล้องกับการที่พบว่าที่อยู่ในเมือง ซึ่งสอดคล้องกับการที่พบว่าในพื้นที่นอกเมืองมีการเผามากกว่าในเมือง

การพบสารดังกล่าว นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาว โดยน่าจะเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเกิดความตระหนัก และร่วมมือกันในการป้องกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

นอกจากนี้ ผลกระทบต่อสุขภาพจากปัญหาหมอกควัน มีทั้งผลกระทบอย่างเฉียบพลันและผลกระทบในระยะยาวโดยผลกระทบเฉียบพลันจะเห็นได้ว่า ปีใดที่มีปัญหาผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจจะมีอาการกำเริบขึ้นมาทันที ขณะที่ผลกระทบในระยาว เป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องสารก่อมะเร็งที่มีการสะสมในร่างกาย ซึ่งแม้จะยังไม่เห็นผลในเวลานี้ แต่มีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันแก้ไขไว้ก่อน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะไม่ทันท่วงที

“จากข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งปอดของประเทศไทย พบว่าภาคเหนือมีผู้ป่วยมะเร็งปอดในอัตราเฉลี่ยที่มากกว่าทุกภาคซึ่งจะระบุว่ามีสาเหตุมาจากปัญหาหมอกควันแต่เพียงอย่างเดียวก็คงบอกไม่ได้ แต่ข้อมูลและจากการศึกษาวิจัยในช่วงที่ผ่านมาก็น่าจะพอเป็นภาพสะท้อนให้เห็นและเฝ้าระวังป้องกันไว้ก่อน” รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุวัฒน์ กล่าว

ด้าน ดร.ทิพวรรณ ประภามณฑลนักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่าจากการวิจัยตรวจการรับสัมผัสสาร pahs โดยการตรวจปัสสาวะเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาและผู้ปกครองในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงใหม่เชียงราย ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอนในปี 2553 โดยเก็บตัวอย่างเด็กนักเรียนและผู้ปกครองจำนวน 484 คู่ พบว่ากลุ่มตัวอย่างจากชุมชนนอกเมืองมีการรับสัมผัสสาร pahs สูงกว่ากลุ่มตัวอย่างในชุมชนเมืองถึง 3.5 เท่า

ผลการวิจัยในครั้งนี้ถือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่ได้จากห้องปฏิบัติการที่บอกเตือนว่าพื้นที่ชุมชนนอกเมืองมีการสะสมของสารมลพิษมากกว่า เพราะอยู่ใกล้แหล่งที่มีการก่อสารดังกล่าวมากกว่าโดยอาจเป็นเพราะพื้นที่ชุมชนนอกเมืองส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตร มีเศษวัสดุเหลือใช้เป็นจำนวนมาก และการเผาเป็นวิธีกำจัดที่ง่าย จึงทำให้มีการเผามากกว่าดังนั้น ข้อเสนอแนะคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน่าจะมีการจัดเก็บและกำจัดเศษวัสดุเหลือใช้ดังกล่าวแทนการเผา

นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังบอกด้วยว่า ในการวิจัยการตรวจสารพิษ pahs ที่เกาะบนฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm10 ที่ได้ทำการวิจัยล่าสุดยังพบด้วยว่า ความเป็นพิษของสาร pahs ที่ตรวจพบบนฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm10 มีความเป็นพิษเพิ่มมากขึ้น 2.8 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยที่ได้จะมีการถ่ายทอดไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนต่อไปเพื่อนำไปประกอบการวางแผนนโยบายเพื่อขยายผลสู่ประชาชนและเกิดการป้องกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

“ผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากปัญหาหมอกควันอาจจะยังมองไม่เห็นในเวลานี้ แต่จากผลการวิจัยและข้อมูลที่ได้จากห้องปฏิบัติ พบว่า สาร pahs เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้เหมือนกับควันบุหรี่”

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์astvผู้จัดการ

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ