`หวาน` เพชฌฆาต
น้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดจะไปกระตุ้นศูนย์ความพึงพอใจในสมองตำแหน่งเดียวกับที่ตอบสนองต่อเฮโรอีนและโคเคน อาหารที่มีรสอร่อยออกฤทธิ์ในลักษณะเดียวกันนี้ในระดับหนึ่ง แต่น้ำตาลส่งผลร้ายอย่างชัดเจน เรียกว่าเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งก็ว่าได้
ริชาร์ด จอห์นสัน อายุรแพทย์โรคไต กล่าวว่า ทำไมผู้ใหญ่ทั่วโลก หนึ่งในสามถึงเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทั้งๆ ที่เมื่อปี 1900 มีเพียงร้อยละห้าเท่านั้นที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เขาถาม ทำไมผู้ป่วยเบาหวานที่เคยมีจำนวน 153 ล้านคนเมื่อปี 1980 จึงเพิ่มขึ้นเป็น 347 ล้านคนในปัจจุบัน ทำไมชาวอเมริกันจึงมีภาวะอ้วนเกินมากขึ้นทุกที เราเชื่อว่าน้ำตาลเป็นตัวการหนึ่งหรืออาจเป็นตัวการใหญ่ด้วยซ้ำ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1675 ตอนที่ยุโรปตะวันตกประสบกับยุคเฟื่องของน้ำตาลเป็นครั้งแรก โทมัส วิลลิส แพทย์ และสมาชิกผู้ก่อตั้งราชสมาคมแห่งอังกฤษ บันทึกไว้ว่า ปัสสาวะของผู้ป่วยโรคเบาหวานมีรส “หวานอย่างน่าประหลาด” ราวกับมีน้ำผึ้งหรือน้ำตาลเจือปนอยู่” อีก 250 ปีต่อมา เฮเวน เอเมอร์สัน จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ชี้ให้เห็นว่า การเสียชีวิตจากโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่างปี 1900 ถึงปี 1920 สอดคล้องกับการบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น
ในช่วงทศวรรษ 1960 จอห์น ยัดคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชาวอังกฤษ ได้ทำการทดลองในสัตว์และมนุษย์ติดต่อกันหลายครั้ง และพบว่า อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงส่งผลให้ระดับไขมันและอินซูลินในเลือดสูงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวาน ทว่าคำเตือนของยัดคินกลับกลืนหายไปกับเสียงคัดค้านของนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งซึ่งแย้งว่า สาเหตุที่ทำให้อัตราผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคหัวใจเพิ่มขึ้นคือคอเลสเตอรอลจากอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวอยู่มากเกินไปต่างหาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีการลดส่วนประกอบที่เป็นไขมันในอาหารของชาวอเมริกันลงจากเมื่อ 20 ปีก่อน กระนั้น สัดส่วนของผู้มีภาวะอ้วนเกินในอเมริกายังคงเพิ่มขึ้น จอห์นสันและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ กล่าวว่า สาเหตุหลักคือน้ำตาล
เมื่อไม่นานมานี้ สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งอเมริกา ได้ออกมาเตือนไม่ให้เติมน้ำตาลลงในอาหารมากเกินควรโดยให้เหตุผลว่า น้ำตาลให้พลังงาน ทว่าไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นว่า คำเตือนนี้คลาดเคลื่อนไปจากประเด็นสำคัญ พวกเขาชี้ว่าการบริโภคน้ำตาลมากเกินควร นอกจากจะได้เพียงพลังงาน แต่ปราศจากคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังให้โทษอีกด้วย
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแคลอรี่หรอกนะครับ” โรเบิร์ต ลัสติก นักวิทยาต่อมไร้ท่อจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในแซนแฟรนซิสโก บอก “น้ำตาลเป็นพิษด้วยตัวมันเองอยู่แล้วครับ ถ้าบริโภคในปริมาณสูง”
ทางออกน่ะหรือ ก็เลิกรับประทานน้ำตาลมากเกินไปไงล่ะ เมื่อลดการบริโภคน้ำตาลลง ผลร้ายหลายอย่างย่อมหายไปด้วย ปัญหาคือ ในโลกทุกวันนี้ เราแทบเลี่ยงน้ำตาลไม่ได้เลย และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การบริโภคน้ำตาลพุ่งพรวด
หากน้ำตาลไม่ดีต่อเรา แล้วทำไมเราถึงอยากกินน้ำตาลนัก คำตอบแบบสั้นกระชับก็คือ น้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดจะไปกระตุ้นศูนย์ความพึงพอใจในสมองตำแหน่งเดียวกับที่ตอบสนองต่อเฮโรอีนและโคเคน อาหารที่มีรสอร่อยออกฤทธิ์ในลักษณะเดียวกันนี้ในระดับหนึ่ง ก็เพราะอย่างนี้แหละเราถึงรู้สึกว่าอร่อยนัก แต่น้ำตาลส่งผลร้ายอย่างชัดเจน เรียกว่าเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม นั่นทำให้เกิดคำถามว่า เหตุใดสมองของเราจึงมีวิวัฒนาการมาให้ตอบสนองต่อสารประกอบที่อาจเป็นพิษด้วยความพึงพอใจ คำตอบอาจอยู่ในบรรพบุรุษมนุษย์วานรของเรา เมื่อความปรารถนาน้ำตาลฟรักโทสเป็นแรงกระตุ้นให้บรรพบุรุษของเราดำรงชีพอยู่ได้
เมื่อประมาณ 22 ล้านปีก่อน เรือนยอดของผืนป่าดิบชื้นในแอฟริกาเป็นถิ่นอาศัยของเอปจำนวนมาก ขณะที่ผลไม้เป็นแหล่งอาหารอันอุดมด้วยน้ำตาลหอมหวานตามธรรมชาติที่หากินได้ตลอดปี วันหนึ่งบางทีอาจเป็นช่วงเวลา 5 ล้านปีหลังจากนั้น ลมหนาวพัดผ่านสวนสวรรค์แห่งนี้ น้ำทะเลค่อยๆ กลายสภาพเป็นพืดน้ำแข็งที่ขยายตัวออกไปทุกที สันดอนจะงอยที่โผล่พ้นน้ำทะเลกลายเป็นสะพานให้เอปรักการผจญภัยไม่กี่ตัวเดินทางออกจากแอฟริกาไปตั้งถิ่นฐานในป่าดิบชื้นของยูเรเชีย แต่ความเย็นยังคงรุกคืบ ทำให้ป่าไม้ผลเขตร้อนถูกแทนที่ด้วยป่าผลัดใบ ตามมาด้วยช่วงเวลาแห่งความอดอยาก ผืนป่าเต็มไปด้วยเอปผู้หิวโหย เมื่อถึงจุดหนึ่ง เอปตัวหนึ่งก็เกิดการกลายพันธุ์ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถแปรูปฟรักโทสได้อย่างยอดเยี่ยม แม้แต่ฟรักโทสปริมาณน้อยนิดก็สามารถจัดเก็บไว้ในรูปไขมัน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการเอาชีวิตรอดในช่วงฤดูหนาวที่อาหารขาดแคลน
ต่อมาวันหนึ่ง เอปซึ่งมียีนกลายพันธุ์และหิวกระหายน้ำตาลจากผลไม้ที่แสนหายากหวนคืนสู่บ้านเกิดในแอฟริกา ก่อนจะกลายมาเป็นบรรพบุรษของเอปที่เราเห็นกันทุกวันนี้ การกลายพันธุ์ที่ว่านี้เป็นปัจจัยในการเอาชีวิตรอดที่สำคัญมาก เพราะมีแต่เอปที่มีการกลายพันธุ์นี้เท่านั้นที่รอดมาได้ ดังนั้นเอปทุกตัวในปัจจุบัน รวมทั้งมนุษย์เรา จึงมีการกลายพันธุ์ดังกล่าว การกลายพันธุ์นี้ช่วยให้บรรพบุรุษของเราดำรงชีวิตอยู่ในช่วงที่อาหารขาดแคลนได้นานหลายปี แต่เมื่อน้ำตาลแพร่มาถึงตะวันตกและส่งผลกระทบรุนแรง จึงเกิดปัญหาใหญ่ เมื่อฟรักโทสล้นโลก แต่ร่างกายเรากลับมีวิวัฒนาการมาให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยฟรักโทสปริมาณเพียงน้อยนิด
เรื่องนี้เป็นตลกร้ายดีๆ นี่เอง ในเมื่อสิ่งที่ช่วยชีวิตเราไว้อาจกลายเป็นสิ่งที่ฆ่าเราในท้ายที่สุด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ