หลักประกันด้านรายได้สำหรับคนสูงอายุ

กองทุนสวัสดิการเพื่อการชราภาพ ลดภาระครอบครัว

 หลักประกันด้านรายได้สำหรับคนสูงอายุ

          สถาบันครอบครัวไทยที่มีระบบความสัมพันธ์การดูแลเลี้ยงดู พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เกือบจะสูญหายไปในสังคมเศรษฐกิจปัจจุบัน คนสูงอายุถูกมองว่าเป็นภาระของครอบครัว กลายเป็นปัญหาของสังคมผู้สูงอายุ

 

          หลายหน่วยงานพยากรณ์ไว้ว่า สังคมไทยกำลังเดินเข้าสู่ความเป็น “สังคมผู้สูงอายุ” โดยจำนวนประชากรสูงอายุจะมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี พ.ศ.2563 จะมีผู้สูงอายุเกือบ 12 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 26 ของคนวัยทำงาน หรือโดยภาพรวมระดับประเทศ ทุกๆ ครอบครัวที่มีคนวัยทำงาน 3 คน จะมีผู้สูงอายุ 1 คน แต่ขณะที่จำนวนผู้สูงอายุกำลังเพิ่มขึ้น คนวัยทำงานที่จะมาดูแลค้ำจุนผู้สูงอายุก็กำลังลดจำนวนลดลง เพราะครอบครัวคนไทยนับวันจะเล็กลง เนื่องจากอัตราการเกิดลดลง มีการคุมกำเนิดมากขึ้น คนมีลูกน้อยลง

 

          ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ จาก ทีดีอาร์ไอ ได้สรุปสถานการณ์เรื่องหลักประกันด้านรายได้สำหรับคนสูงอายุเอาไว้ว่า ในปี พ.ศ.2550 ประเทศไทยมีประชากรวัยทำงานประมาณ 44 ล้านคน มีเพียง 12 ล้านคนหรือไม่ถึงร้อยละ 30 ที่มีหลักประกันด้านรายได้เมื่อเกษียณอายุในระบบที่รัฐบาลดูแลจัดให้ ผู้ที่ไม่มีหลักประกันรายได้ส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน ผู้ทำธุรกิจส่วนตัว อาชีพอิสระทั่วไป ค้าขายทั่วไป หาบเร่แผงลอย รับจ้างทั่วไปและแรงงานภาคเกษตร

 

          เมื่ออยู่ในวัยทำงาน คนเหล่านี้มีความผันผวนของรายได้สูง คือบางช่วงมีมาก บางช่วงรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นผู้สูงอายุยากจนคือ ผู้ที่มีการศึกษาน้อย

 

          แม้ว่ามาตรา 53 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยระบุว่า “บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพมีสิทธิได้รับสวัสดิการสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะอย่างสมศักดิ์ศรีและความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ”

 

          แต่ระบบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในปัจจุบันจ่ายเงินสงเคราะห์แก่ผู้สูงอายุเกือบ 1.8 ล้านคน แต่การจัดสรรกลับขาดความเท่าเทียมกันในแต่ละจังหวัด เช่นผู้สูงอายุในจังหวัดสงขลาได้รับเบี้ยยังชีพมีเพียงร้อยละ 10 จังหวัดนนทบุรีร้อยละ 11 จังหวัดบุรีรัมย์ร้อยละ 58 ขณะที่จังหวัดอำนาจเจริญมีผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพร้อยละ 78 แม้ว่าโดยภาพรวมคนในจังหวัดสงขลาจะร่ำรวยกว่าคนในจังหวัดอำนาจเจริญ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าคนแก่และจนในจังหวัดสงขลาจะมีโอกาสในการได้รับเบี้ยยังชีพดีกว่าคนแก่แต่ไม่จนในจังหวัดอำนาจเจริญ การจัดสรรเงินระหว่างจังหวัดที่ไม่ทัดเทียมกันทำให้ผู้สูงอายุที่ยากจนในจังหวัดหนึ่งต้องเสียโอกาสให้แก่ผู้สูงอายุที่ฐานะดีกว่า แต่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง

 

          ดังนั้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมและความทัดเทียม รัฐควรแก้ไข พรบ. ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 11 (11) การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพตามความจำเป็นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เปลี่ยนเป็น “หลักประกันด้านรายได้” (สิทธิสำหรับผู้สูงอายุทุกคนที่ขาดรายได้) และจัดตั้ง “กองทุนสวัสดิการเพื่อการชราภาพ” โดยให้กองทุน มีคณะกรรมการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้ง มีระบบตรวจสอบกำกับ ที่เข้มแข็ง โปร่งใส สำหรับที่มาของเงินกองทุนอาจมาจาก 3 แนวทาง คือ

 

          ทางเลือกที่ 1 ผู้มีรายได้เพียงพอที่อายุเกิน 25 ปี ออมวันละ 3 บาท และจ่ายบำนาญแก่ผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท กองทุนจะมีเงินสะสมส่วนเกินเมื่อสัดส่วนผู้สูงอายุ 1 คน ต่อคนอายุ 25-65 ปี ไม่น้อยกว่า 6.7 คน (ใกล้เคียงกับปัจจุบัน) โดย อปท.ทุกแห่งรับผิดชอบการจัดเก็บทุกคนที่จ่ายจะมีสมุดบัญชีการออมของตนเอง

 

          ทางเลือกที่ 2 กำหนดให้จัดเก็บเงินเข้ากองทุน จากภาษีทางอ้อมในระดับท้องถิ่น เช่น ภาษีจากสุรา ยาสูบ น้ำมันเชื้อเพลิง หรือ VAT ท้องถิ่น ในอัตราที่ได้เงินใกล้เคียงกับทางเลือกที่ 1

 

          ทางเลือกที่ 3 รายรับของกองทุนมาจากแหล่งผสมของสองทางเลือกข้างต้น รวมถึงแหล่งรายได้อื่น

 

          ทั้งนี้รัฐต้องค่อยๆ สมทบเงินเข้ากองทุนทุกๆ ปี เพื่อช่วยอุดหนุนกองทุนในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายการสมทบเพียง 1 ใน 3 ของรายรับเงินกองทุน ซึ่งจะใกล้เคียงกับเงินเบี้ยยังชีพที่จ่ายให้กับผู้สูงอายุในปัจจุบันประมาณปีละกว่า 10,000 ล้านบาท อยู่แล้ว

 

          หากผู้สูงอายุทุกคนมีหลักประกันรายได้ที่เท่าเทียมกันทั่วประเทศ กลุ่มผู้สูงอายุของไทยก็จะมีสุขภาพที่ยั่งยืน และมิใช่เป็นภาระของสถาบันครอบครัวไทย

 

 

 

 

 

เรื่องโดย : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

 

 

 

 

Update : 25-08-51

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code