หยุดปัญหาเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางสังคม ครอบครัวและเศรษฐกิจ ตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆ ส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการตั้งครรภ์ในกลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น โดยเฉพาะในยุคไอทีก้าวหน้า ทุกคนสามารถเข้าถึงและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าเด็กและวัยรุ่นยังมีภาวะอารมณ์ที่อ่อนไหว คล้อยตามคารมโน้มน้าวได้ง่าย ขณะเดียวกันก็กล้าคิดกล้าทำและพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งต่างๆ ขาดการยั้งคิด โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติดและเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวันอันควร
ปัจจุบันวัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ อายุน้อยและไม่มีการป้องกัน ทำให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หลายคนกลายเป็นคุณพ่อมือใหม่ คุณแม่มือใหม่ หรือหนักกว่านั้น คือ ท้องไม่มีพ่อ สุดท้ายเมื่อคลอดบุตรแล้ว ก็ทิ้งไว้เป็นภาระแก่พ่อแม่ (หรือปู่ย่าตายาย) เลี้ยง จนเด็กขาดความอบอุ่น ส่งผลต่อปัญหาสังคมตามมาอีกมากมายไม่จบสิ้น นอกจากนี้คู่รักวัยรุ่นยังสุ่มเสี่ยงกับการเกิดโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ เพราะไม่รู้จักการป้องกัน ปัญหาเหล่านี้ทำให้หลายๆ คนถึงกับหมดอนาคต
กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายอำเภอขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)
ศรีสะเกษ เขต 3 ได้แก่ โรงเรียนสวัสดีวิทยา โรงเรียนบ้านนาก๊อก และโรงเรียนบ้านเรียม เป็นอีกหนึ่งกลุ่มโรงเรียน ที่ให้ความสำคัญกับเพศศึกษาในวัยรุ่น จึงได้
จัดทำโครงการ "การจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม ขององค์กรในชุมชนเพื่อสร้างความรู้ ความรัก และทักษะเพศศึกษาที่ถูกต้องสร้างเยาวชนไทย ให้สมบูรณ์"
โครงการดังกล่าวอยู่ในชุด โครงการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมขององค์กรในชุมชน เพื่อสุขภาวะเด็กและเยาวชน ของ สสส. ซึ่ง ดำเนินโครงการจำนวน 64 โครงการหลัก ในกว่า 300 โรงเรียน ทั่วทุกภูมิภาค โดยเป็นโครงการที่เน้นกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างสถานศึกษาและชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่ยั่งยืน มีประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาวะของเด็กและเยาวชนในพื้นที่เป็นตัวตั้ง ครอบคลุมปัจจัยเสี่ยง 4 ด้าน คือ เหล้า บุหรี่ อาหารที่ปลอดภัย และสุขภาวะทางเพศ ซึ่งแต่ละโรงเรียน แต่ละชุมชน แต่ละพื้นที่มีประเด็นปัญหาที่แตกต่างกันและมีทุนทางสังคมรวมทั้ง บริบทปัญหาที่ไม่เหมือนกัน การสร้างองค์ความรู้ และความร่วมมือจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาของแต่ละชุมชนได้ "เพศศึกษาไม่ใช่เป็นแค่เรื่องเพศสัมพันธ์ มันมีมากกว่านั้น เราตั้งเป้าจะทำยังไงที่ ลดปัญหาได้ นั่นคือ เพิ่มเติมความรู้ให้เยาวชน ให้เขาลด หรือแม้เขาจะมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็ต้องให้เขาป้องกันตัวเอง โดยเราจะสอดแทรกการนำเอาครอบครัวอบอุ่นมาช่วยเสริม ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ให้เรื่องสุขภาวะเรื่องเพศลดน้อยลง" กิตติศักดิ์ มครนันท์ ครูประจำโรงเรียนสวัสดีวิทยา บอกถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาวัยรุ่นกับเรื่องเพศสัมพันธ์
การดำเนินโครงการทั้ง 3 โรงเรียนใน เครือข่าย จะวางแผนร่วมกับทุกองค์กรในชุมชน ได้แก่ ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงพยาบาล สถานีตำรวจ โดยมีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการสร้าง องค์ความรู้ด้วย เมื่อผ่านการเห็นชอบจาก ทุกคนแล้วจะนำนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและแกนนำ มาทำกิจกรรมร่วมกัน
รูปธรรมชัดเจนที่สุดของกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายอำเภอขุขันธ์ดำเนินการและประสบความสำเร็จ คือการจัดทำหลักสูตรวิชา เพศศึกษา ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บทเรียนบทหนึ่งในวิชาสุขศึกษาอีกต่อไป เพราะมีการสอน และสอบเก็บคะแนนเหมือนวิชาสามัญอื่นๆ
"เราจัดทำขึ้น ก็มาจากความร่วมมือ ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะ รพ.สต. ที่ช่วยดูว่า ไม่ให้เนื้อหาส่อไปในทางทะลึ่งได้อย่างไร บางเรื่องต้องพูด เพราะพ่อแม่ไม่กล้าพูด แต่เมื่อ ครูพูดเด็กก็กล้าเปิดใจ กล้าบอกเล่าเรื่องราวให้เราได้ฟัง" ครูกิตติศักดิ์ ย้ำชัดถึงความสำคัญ ของการสอนเรื่องการเพศศึกษาให้กับเด็ก และ เยาวชน
ขณะเดียวกัน ยังพบว่านักเรียนที่เรียนวิชาเพศศึกษา เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เช่น เมื่อมีปัญหามักจะเดินเข้าปรึกษาครู ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่มักจะเก็บปัญหาไว้กับตัวเอง เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนใกล้ชิดกันมากขึ้น ก็นำมาซึ่งกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย อย่างเช่น "ชมรมวัยใส" เป็นกลุ่มนักเรียนที่ทำงานร่วมกับครูและชุมชน
ด.ญ.มยุรีย์ สีบุญเรือง หรือ น้องติ๊บ นักเรียนชั้น ม .3 โรงเรียนสวัสดีวิทยา แกนนำ ชมรมวัยใส เล่าถึงการทำงาน และการเรียนวิชาเพศศึกษาว่า การเรียนครั้งแรก ครูก็ให้ทุกคนเปิดใจ เพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศศึกษามากน้อยเพียงใด มีทักษะการป้องกันตัวเองหรือไม่ บางคนก็เขินอาย บางคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็กล้าพูดกล้าเปิดเผย ซึ่งครูก็บอกว่าถ้าเคยมีอะไรแล้วก็ต้องป้องกัน และกินยาคุม และจะต้องดูแลตัวเองอย่างไร นอกจากนี้ยังให้ปรึกษาผู้ปกครองด้วย
"หนูมองว่าเรื่องนี้มีทั้งข้อดี และข้อเสีย มันก็มีผลต่อเนื่องให้เราเห็นว่า หากเราทำแล้วจะเกิดอะไร มีเหตุและมีผลของมัน เพื่อนๆ ได้ทักษะป้องกันตัวเองมากขึ้น รู้ในสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ" น้องติ๊บ บอก
ในส่วนกิจกรรม "ชมรมวัยใส" ซึ่งจะมีอยู่ทั้ง 3 โรงเรียน โดยการทำงานจะเป็นไปใน ลักษณะ ประชุมในโรงเรียน และชุมชนของ ตัวเองก่อน ต่อมานำเอาปัญหามาพูดคุย และตั้งโจทย์ปัญหาของแต่ละโรงเรียน จากนั้นนำเอาปัญหามารวบรวมแล้วนำไปเสนอแก้ปัญหากับทางโรงเรียนและชุมชนต่อไป
สำหรับโครงการนำร่องจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมขององค์กรในชุมชน ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2554-2555 และในปี 2556-2557 นี้ ได้ทำต่อเนื่อง คือโครงการติดตามและสนับสนุน ชุดโครงการการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมขององค์กรในชุมชน เพื่อสุขภาวะเด็กและเยาวชน
ผศ.ดร.พิณสุดา สิริธรังศรี หัวหน้าโครงการติดตามฯ กล่าวว่า การจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมขององค์กรในชุมชน มีข้อกำหนด ที่ทุกโครงการจะต้องมี 8 หลักการ คือ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมดำเนินการ ร่วมรับผิดชอบ ร่วมแก้ปัญหา ร่วมติดตามผล และ ร่วมชื่นชม ซึ่งการทำโครงการนี้มีข้อกำหนดว่า ต้องไปฟังเสียงชุมชนก่อน ก็คือระดมความเห็น ร่วมเสนอความต้องการ ชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
"การที่เราให้โรงเรียนคิดเองทำเองร่วมกับชุมชน จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและประสบความสำเร็จมากกว่าคำสั่งมาจากส่วนกลาง ถ้ารอส่วนกลางงบประมาณโรงเรียนไม่เพียงพอต่อการพัฒนาการเรียนการสอนของเด็ก เพราะเพียงค่าค่าสาธารณูปโภคก็หมดแล้ว แล้วคำสั่งจากส่วนกลางที่ลงมาก็ไม่เข้ากับพื้นที่ ชุมชนนั้นๆ" ผศ.ดร.พิณสุดา ให้ความเห็น
โครงการที่กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายอำเภอขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ดำเนินการ จึงเป็นตัวอย่างดีๆ ที่ให้ผลเป็นรูปธรรม โดยชุมชนมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน และการที่นำเอาวิชาเพศศึกษา ใส่ไว้ในหลักสูตร คือความยั่งยืนที่โรงเรียนอื่นๆ น่าศึกษาไว้
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย อิสระ สนามไชย
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต