“หมอประเวศ”ระบุ สสส.เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนสังคม
แนะเปิดพื้นที่ให้ได้ร่วมคิด ร่วมทำก่อให้เกิดพลังมาก
นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวเนื่องในโอกาสสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.ครบรอบ 9 ปี ว่า เราต้องเรียนรู้ว่าสิ่งสูงสุดของมนุษย์ในการพัฒนาคือเรื่องสุขภาวะหรือสุขภาพที่เรียกว่า Health for all พวกเราที่ทำงานกันต้องนึกถึงบรรพบุรุษที่ทำงานมาก่อนเราในวงการสาธารณสุข หลายๆ ส่วนมาทีหลังไม่ได้เห็นสภาพที่มันลำบากยากแค้น
“ผมโตมาที่จังหวัดกาญจนาบุรีไม่มีหมอสักคน ใครเป็นไส้ติ่งอักเสบตายทุกคน เป็นคอตีบตาย เพื่อนเด็กนักเรียนกว่าครึ่งหนึ่งเป็นโรคครุฑราช ต้องอาศัยคนทำงานทางสาธารณสุขมากมาย ที่ช่วยกันทำงานทำเรื่องโครงสร้างต่างๆ ทำให้โรคครุฑราชหมดไป คอตีบหมดไป โปลิโอหมดไป กระทั่งมีหมอ มีอนามัย เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่มาก จึงอยากให้มีคนเขียนมหากาพย์ของสาธารณสุขไทยที่มีคนอุทิศตัวทำงานช่วยกันมา”นพ.ประเวศกล่าว
ราษฎรอาวุโส กล่าวต่อไปว่า พวกเราที่ทำงานกันมาก็ตระหนักรู้แล้วว่า เราจะเจอปัญหาเราจำเป็นต้องปฏิรูประบบ แต่เราไม่มีความรู้เชิงระบบ เรามีความรู้เชิงเทคนิค ก็ไปตั้งสถาบันวิจัยระบบ อันนี้คือวิธีคิดเพื่อที่จะสร้างความรู้เชิงระบบเพื่อมาปฏิรูประบบอีกทีหนึ่ง ก็ตั้งสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ขึ้น เมื่อปี 2535 แล้วก็คุยกัน ว่าเราต้องมาทำจากตั้งรับเป็นรุกต้องทำให้คนสุขภาพดี ตนจึงมาตั้งโจทย์ให้ นพ.สุภกร บัวสาย (อดีตผู้จัดการ สสส.) โดย ให้เวลา 1 ปี ให้ออก พ.ร.บ.ส่งเสริมสุขภาพที่ดีที่สุดในโลก นั่นคือต้องไปค้นคว้าที่เขาทำดีทั้งโลกและเราต้องทำให้ดีกว่านั้น ในที่สุดก็ออกมาเป็น สสส.ในที่สุด
“สสส.เป็นเครื่องมือเปิดพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ขอให้ประสบความสำเร็จในการร่วมสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ไม่มีอำนาจใดทำสำเร็จ วิธีที่จะทำให้สำเร็จ คือ ต้องเปิดพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง เมื่อ สสส.เกิดขึ้นมา ตรงนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นเครื่องมือที่ใหญ่มาก แต่ก็มีคนมองว่าเอาภาษีเหล้า บุหรี่เข้ามาใช้ตรงนี้ ขณะที่องค์กรอื่นๆ ลำบากเหลือเกิน ซึ่งก็ถูกโจมตี แต่มันก็สามารถใช้ได้ คิดได้ แต่หากเป็นระบบราชการก็มักจะติดอยู่ในระบบทำก็จะไม่ค่อยได้ผล เพราะเราใช้วิธีการเปิดให้คนเข้ามาร่วมมือกัน ทำมาเป็น 10 ปีแล้ว ก็ขยับเขยื้อนเรื่องต่างๆ ไปเยอะ และมีอนาคตที่จะไปต่อได้อีก”นพ.ประเวศกล่าว
นพ.ประเวศ กล่าวต่อไปอีกว่า เรื่องปฏิรูปประเทศไทยก็เริ่มเกิดขึ้น ซึ่งก็เริ่มจาก สสส. แต่ในความจริงแล้วก็อยู่ภายใต้การปฏิรูประบบสุขภาพนั่นเอง เพราะสุขภาพมันใหญ่มาก อยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจ สังคม ศึกษา สสส.จึงเป็นเครื่องมืออุดมคติที่จะขับเคลื่อนสังคมทั้งสังคม ซึ่งเงินก็ไม่ได้ดีกว่าใจหรือความเป็นมนุษย์ เราจึงต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ ต้องสร้างความรู้และประยุกต์ใช้ความรู้ให้ได้ผล เพราะหากมีใจอย่างเดียวก็ไม่สำเร็จ มีความรู้อย่างเดียวก็ไม่สำเร็จ ต้องมีความรู้และมีใจ และต้องบริหารจัดการได้ด้วย เราคงไม่มีองค์กรใดในประเทศไทย รวมทั้งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่จะมีความสามารถที่จะหยิบขึ้นมา ได้ทั้งหัวใจ ได้ทั้งความรู้ และการจัดการ ได้ทั้งความร่วมมือ ขณะนี้เรากำลังเจอความซับซ้อนที่ยากมาก ไม่มีองค์กรใดขณะนี้ในประเทศไทยที่จะเชื่อมโยงได้หมด สร้างหัวใจความเป็นมนุษย์ สร้างความรู้ ให้ความรู้ รู้จัดการ ที่เราพูดว่าอำนาจ 2 อำนาจที่เลือกใช้มาแต่ก่อน คืออำนาจรัฐ และอำนาจเงินมันใช้ได้เฉพาะเรื่องง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่เรื่องที่ซับซ้อน 2 อำนาจนี้ใช้ไม่ได้ผล นี่คืออำนาจแห่งความเป็นสังคม ซึ่งอาจเป็นการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำ ติดอาวุธทางปัญญา การใช้สันติวิธี การใช้การศึกษาเชื่อมโยงถึงกันหมด เป็นพลังหรืออำนาจของสังคม เรียกว่า “สังคมานุภาพ” เราไม่ปฏิเสธอำนาจรัฐ ไม่ปฏิเสธอำนาจเงิน แต่อำนาจทั้ง 3 ต้องเสมอกัน เชื่อมโยงกัน อำนาจรัฐ อำนาจเงิน อำนาจสังคม ถ้าเชื่อมโยงเสมอกัน จะมีอำนาจมาก และหากมีเจตนารมณ์ที่ดีก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่จะขับเคลื่อนสังคม ไปสู่สังคมสันติสุข หากคิดว่าประเทศอื่นน่าอยู่ ประเทศไทยเรามีทรัพยากรมากกว่า มีความเป็นธรรมชาติ และแผ่นดินเราใหญ่กว่า มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีความหลาหลายทางวัฒนธรรม ทรัพยากรทางศาสนธรรม ทุนทางสังคม เรามีมากกว่าประเทศเหล่านั้น
“ขออวยพรให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ สสส.ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้น ทั้งทางส่วนตัวและในการทำประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ เป็นความงามที่จะประดับไว้ในแผ่นดิน”นพ.ประเวศกล่าวปิดท้าย
ที่มา : คีตฌาณ์ ลอยเลิศ Team content www.thaihealth.or.th
Update : 10-11-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : คีตฌาณ์ ลอยเลิศ