หน่ออ่อนรักษ์ป่าน่าน

         เสริมศักยภาพเหล่าเยาวชน จ.น่าน เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชุมชน ด้วยกระบวนการเติมความรู้ "เครื่องมือการเรียนรู้ป่าแบบง่าย ๆ"


หน่ออ่อนรักษ์ป่าน่าน thaihealth


          น่านเป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวโพด- เลี้ยงสัตว์สูงอันดับ 2 ของประเทศ ปลูกข้าวโพดในพื้นที่ลาดชั้นสูง (ที่มา : ผศ.ดร.เขมรัฐ เถลิงศรี งานวิจัยปี 2557)


          จากข้อมูลข้างต้น ได้ปลุกกระแสอนุรักษ์ ของคนน่านให้ตื่นขึ้น โดยเฉพาะทรัพยากร ธรรมชาติป่าไม้ ซึ่ง เด็ก และเยาวชนก็ถือเป็นอีกภาคส่วนสำคัญในการที่จะเป็นหน่ออ่อน ของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังก้าวขึ้นเป็นเรี่ยวแรงหลักของสังคมในอนาคต หลายๆ โครงการจึงเกิดขึ้นเพื่อเสริมศักยภาพของเหล่าเยาวชน ในแง่มุมต่างๆ  อาทิ โครงการเสริมสร้างศักยภาพ เครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน ก็ถือเป็น อีกหนึ่งโครงการที่เกิดขึ้นโดยมุ่งให้เยาวชน เมืองน่านเกิดจิตสำนึกรักบ้านเกิดผ่านโครงการเกี่ยวกับป่า เพื่อนำ "ข้อมูล" ที่ได้ไปเสริมข้อมูลเกี่ยวกับป่าให้กับ "ผู้ใหญ่"  ได้นำไปจัดทำข้อมูลป่าชุมชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการอนุรักษ์ป่าชุมชนต่อไป


          กระบวนการเติมความรู้ "เครื่องมือการเรียนรู้ป่าแบบง่าย ๆ" จึงเกิดขึ้น โดยจัด "อบรมการสำรวจและประเมินสภาพป่า อย่างง่าย" เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้ขั้นตอนและวิธีการสำรวจและประเมินสภาพป่า ที่โรงเรียนบ้านป่าแดดและป่าชุมชนบ้านหัวนา อ.สันติสุข จ.น่าน โดยการสนับสนุนของมูลนิธิสยาม กัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) เมื่อไม่นานมานี้


          ป่าชุมชนบ้านหัวนา ขนาด 378 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.พงษ์ อ.สันติสุข จ.น่าน เป็นป่าฟื้นฟู ปัจจุบันเป็นแหล่งหาอาหารของชาวบ้าน เก็บหน่อไม้ ผักหวาน ฯลฯ รวมทั้งกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ ให้กับเหล่าเยาวชนในครั้งนี้ โดยมี สุภาภรณ์ ปันวาร และวุฒิพงษ์ นาคสกุล นักวิชาการอิสระด้านป่าไม้ มาแบ่งปันให้ความรู้ ทั้งในลักษณะการบรรยายทีละขั้นทีละตอนในห้องเรียน และพาลงพื้นที่เรียนรู้จริงในป่าชุมชน


          หลังจบภาคทฤษฎีแล้ว กลุ่มเยาวชน ก็มารวมตัวพร้อมกันที่ทำการหน่วยต้นน้ำ ป่าชุมชนบ้านหัวนา เพื่อฝึกเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยมีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มสามเณร และเยาวชนทั่วไป โดยมี ปั๋น จ๋อมพันธ์ ผู้รู้พันธุ์ไม้ และพื้นที่ป่าไป ร่วมให้ความรู้เรื่องพืชสมุนไพร กับชนิดของต้นไม้กับเด็กๆ ด้วย


          การเข้าป่าครั้งนี้ ทำให้ได้เรียนรู้วิธีสำรวจป่าแบบถูกต้อง โดยแต่ละกลุ่มได้ลองทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการ วัดแปลง การจดบันทึก การวัดขนาดต้นไม้ ฯลฯ ตลอดกระบวนการสำรวจนั้นได้มีเสียงพูดคุยสอบถามบรรดาพี่เลี้ยงอย่างกระตือรือร้น ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้ทั้งสนุกสนาน ถึงจะมี เสียงบ่นว่าคันระหว่างการเดินลุยป่าบ้าง แต่ก็ ไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคกับเหล่าหน่ออ่อนอนุรักษ์กลุ่มนี้แต่อย่างใด


        หน่ออ่อนรักษ์ป่าน่าน thaihealth  สุภาภรณ์ ปันวาร อธิบายว่า "การมาสำรวจป่าครั้งนี้ อย่างน้อยทำให้เด็กๆ ได้รู้จักชนิดต้นไม้และรู้จักป่ากันมากขึ้น ใครที่ยัง ไม่เคยไปเดินป่าจะได้ไปรู้จักป่าบ้านตนเอง เด็กๆ จะมีข้อมูลที่เป็นหลักวิชาการเพิ่มขึ้น และจะได้เอาไปช่วยผู้ใหญ่ในแง่ของการเอาไป พูดคุย บอกสภาพป่าว่าเป็นอย่างไร คิดว่า สภาพป่ามันดี แต่ว่าอะไรจะมาช่วยชี้วัดว่าอะไรมันดีหรือว่าบางทีเขารู้สึกว่า เอ๊ะ…ป่าเสื่อมโทรมหรือเปล่า แต่ว่าบางทีมันอาจจะเป็นประเภท ของป่า เช่น ป่าเต็งรัง สภาพหรือมีหินโผล่ อย่างนี้ คือสภาพของมันที่มันเป็นแบบนั้นทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ หรือนำไปใช้ประโยชน์ได้ในกรณีที่ ชุมชน เยาวชน อยากจะไปจัดกิจกรรมบวชป่า ไปปลูกป่า บางทีถ้าเขารู้ก่อนว่าพืชท้องถิ่น ในพื้นที่มันมีอะไร และเขาสามารถไปเก็บ เมล็ดพันธุ์ในนั้นไปเพาะ หรือไปขอชนิดพันธุ์ที่มันตรงกันก็จะช่วยเรื่องฟื้นฟูป่าได้มากขึ้น อย่างการบวชป่า เขาสามารถไปบวชกับต้นไม้ ต้นใหญ่ๆ ที่มีความสำคัญในเชิงของการเป็น แม่ไม้ ถ้ามีความรู้เหล่านี้ก็จะได้รักษาต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ไว้ แต่การสำรวจป่าที่สำคัญเยาวชนต้องมีผู้รู้หรือปราชญ์ชาวบ้านร่วมกิจกรรมด้วย เพราะผู้ใหญ่จะรู้เรื่องพันธ์ไม้ได้ช่วยสอนเยาวช นได้ ผลพลอยได้การที่ตัวเยาวชนและผู้ใหญ่ได้มีโอกาสได้คุยกัน จะเป็นการการถ่ายทอดความรู้จากผู้ใหญ่ไปสู่เด็กด้วย"


          นอกจากนั้น นักวิชาการอิสระคนเดิม ยังเน้นในเรื่องของการทดลองลงมือทำ เพื่อ ที่จะได้รู้ว่า มีเครื่องมืออะไรที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และวัตถุประสงค์ของงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั่นเอง


          "ความสำคัญจริงๆ อยู่ที่อยากให้รู้จัก ตัวป่าของเราเพิ่มมากขึ้น" เธอย้ำ


          ด้าน พระครูสุจิณนันทกิจ (พระอาจารย์สมคิด จารณธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดโป่งคำ อ.สันติสุข จ.น่าน ในฐานะผู้ใหญ่ใจดีที่หนุนโครงการนี้เผยการหนุนการอบรมครั้งนี้เผยว่า กิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกว่าป่า มีความสำคัญกับตัวเราแบบไหนบ้าง ทั้งเรื่องน้ำ เรื่องสุขภาพ เรื่องของอาหาร และเรื่องของเชิงสังคม


          "เด็กก็จะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ องค์ความรู้ เรื่องภูมิปัญญาที่เขาจะต้องสืบสาน เราเริ่ม เห็นเยาวชนบางคนเริ่มที่จะแสดงความเป็น ตัวตนว่าของเราต้องเป็นแบบนี้นะ เราจะต้องสืบทอด เราจะต้องดูแลรักษา ไม่ได้บอกว่าเยาวชนร้อยคนต้องทำร้อยคนไม่ใช่ เห็นโผล่ มาสักห้าคนสิบคนนี่ มันถือกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่คนยุคนี้ เด็กมาช่วยผู้ใหญ่ ในเรื่องการ ผสมผสานระบบคิด ช่วงของจังหวะที่เขาได้เรียนรู้กับองค์ความรู้และภูมิปัญญาเดิม เขาก็จะรวบรวมองค์ความรู้เหล่านี้ ทำสื่อ ที่เขาถนัดบอกเล่าเรื่องนี้ผ่านสื่อให้คนที่ไม่รู้จัก น่านเห็น เคยมองน่านเป็นภาพหนึ่ง ก็เห็นน่านเป็นอีกภาพหนึ่ง"  ที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นความงดงามของความผสมผสานของคนระหว่างรุ่นต่อรุ่น จากความคิดของผู้ใหญ่ทำนองว่า เยาวชนสมัยนี้ไม่ได้เรื่องเหมือนสมัยก่อน ก็จะเปลี่ยนไปเมื่อได้สัมผัสกับพฤติกรรม การปรับเปลี่ยนวิธีคิดของเยาวชนกลุ่ม ที่ทำงานด้วย ผู้ใหญ่เริ่มมีความหวังว่าจะมีโอกาสในการที่จะสืบทอดในรุ่นต่อๆ ไป เพราะมี คนมาต่อยอด นำไปผสมผสานในยุคสมัย ต่อๆ ไป สำหรับความรู้สึกของกลุ่มเยาวชนเอง ทั้งจาก กลุ่มเยาวชนบ้านหัวนา กลุ่มเยาวชนห้วยหมี กลุ่มโรงเรียนวัดบ่อหลวง สามเณรโรงเรียนวัดปรางค์  และมีเยาวชนโรงเรียนบ้านป่าแดด จำนวน 10 พร้อมผู้ใหญ่ในพื้นที่ร่วมเรียนรู้นั้น พวกเขาก็ได้ร่วมกันสะท้อน การเรียนรู้ครั้งนี้ว่า จะนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับโครงการของตนอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจที่จะนำวิธีการสำรวจป่าไปสำรวจพื้นที่ที่จะทำฝาย และนำหลักการ ทั้งการจดบันทึก ข้อมูล นำการคำนวณความหนาแน่นของต้นไม้ในพื้นที่ อีกทั้งนำข้อมูลจากการสำรวจป่าและทรัพยากรไปนำเสนอในที่ประชุมในชุมชนให้ได้เห็นคุณค่าของป่าและหาแนวทางฟื้นฟูป่าต่อไป


          การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ เมืองน่าน รณรงค์ผ่านมาหลายสิบปีแต่ยัง ไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมมากนัก วันนี้ "ผู้ใหญ่" ฝากความหวังนี้ไว้ให้กับเยาวชนโดยเสริม ความรู้ให้เต็มพิกัด เพื่อที่เยาวชนจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีองค์ความรู้ที่แท้จริง และนำความรู้ นี้ไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน


 


 


       ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


       ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code