หนุนแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย เติมทักษะโลกยุคใหม่

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า


หนุนแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย เติมทักษะโลกยุคใหม่ thaihealth


แฟ้มภาพ


การศึกษาปฐมวัย มีความสำคัญต่อการพัฒนาของกลุ่มเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีการเจริญเติบโต และมีพัฒนาการในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหน่วยงานด้านการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงร่วมกันวางแผนจัดทำยุทธศาสตร์ เพื่อผลักดันให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้าน


ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา ดร.อุษณีย์ ธโนศวรรย์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมการประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อนแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 ในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านโปรแกรม Cisco WebEx โดยมีนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมด้วย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ รองศาสตราจารย์ ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ กรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และผู้แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น


โดย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศธ. กล่าวถึงแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 ซึ่งเกิดขึ้นจากคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจจัดทำแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย แต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นผู้ดำเนินการในฐานะฝ่ายเลขานุการ ฯ และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและคาดหวังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการบูรณาการงานร่วมกัน เพื่อผลักดันให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านและเข้าถึงบริการต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน


ด้าน ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. เสริมความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี ว่า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคต โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเริ่มตั้งแต่ดูแลหญิงตั้งครรภ์ให้มีสุขภาวะที่เหมาะสม รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเด็กปฐมวัยและสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับจากรัฐ ทั้งนี้เมื่อเด็กเติบโตขึ้น ควรได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Unplug Coding ทักษะที่โลกยุคใหม่ต้องการ คือการเรียนโค้ดดิ้งโดยไม่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ผ่านการเล่น กล้าตัดสินใจ กล้าตั้งคำถามง่าย ๆ เพื่อใช้ชีวิตประจำวัน สร้างภูมิคุ้มกันการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการเป็นพลเมืองโลกในยุคดิจิทัล


หลังจากนั้น ที่ประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 กระทรวง (พม.-มท.-สธ.) รายงานการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 โดย นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัด พม. กล่าวถึงการดำเนินงานระบบสวัสดิการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และดูแลระบบคุ้มครองเด็ก (Child Protection Information System : CPIS) โดยรับแจ้งเหตุเด็กที่มีความเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือต่อไป


ต่อจากนั้น นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานว่า องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญในการจัดการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย โดยดำเนินการดูแลโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกว่า 20,000 แห่ง และรับผิดชอบเด็กปฐมวัยกว่า 870,000 คน มุ่งเน้นการพัฒนาตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ รวมทั้งดูแลการจัดสรรค่าใช้จ่ายรายหัว ค่าเครื่องแบบ และค่าอาหารกลางวัน


และนายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย สธ. เสนอโครงการส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพ และหลังคลอดมีโครงการส่งเสริมการเจริญเติบโตและภาวะโภชนาการในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต รองรับการให้ความรู้ความเข้าใจกับมารดาในการให้นมบุตร รวมทั้งปฏิบัติการติดตามดูแล ให้คำปรึกษากับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ผ่านตัวชี้วัด 4D ได้แก่ 1. Diet ด้านข้อมูลโภชนาการ 2. Development & Play ด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัยและการเรียนรู้ผ่านการเล่น 3. Dental ด้านสุขภาพช่องปาก และ 4. Disease ด้านสุขภาพร่างกาย


จากนั้นที่ประชุมพิจารณาแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 โดย ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา รายงานใจความสำคัญของแผนดังกล่าว ที่ยึดมั่นพัฒนาให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านเต็มศักยภาพ เป็นพื้นฐานของความเป็นพลเมืองคุณภาพ ประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ โดยสรุป ดังนี้


ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดและการให้บริการแก่เด็กปฐมวัย เริ่มตั้งแต่หญิงตั้งครรภ์ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และเด็กปฐมวัยได้รับโอกาสเข้าถึงบริการต่าง ๆ อย่างเท่าเทียม เช่น การสำรวจคัดกรองเพื่อหาภาวะความต้องการพิเศษ


ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย พ่อแม่ผู้ปกครองมีทักษะการดูแลและคุ้มครองสิทธิเด็ก (Parenting Skills)


ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยสร้างระบบให้คำปรึกษา (Coaching) กับบุคลากรที่ดูแลเด็กปฐมวัย และส่งเสริมให้ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพตามมาตรฐานอาชีพผู้ดูแลเด็ก และคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชาชีพบริการสุขภาพ


ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาระบบและกลไกการบูรณาการสารสนเทศด้านเด็กปฐมวัยและการนําไปใช้ประโยชน์ ผ่านการจัดทำฐานข้อมูลรายบุคคลและสารสนเทศเด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดเป็น “ระบบกลางระบบเดียว” เพื่อความถูกต้อง ครอบคลุม และเป็นปัจจุบัน


ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดทำและปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัยและการดำเนินการตามกฎหมาย มีระบบและกลไกในการรับเรื่อง ร้องเรียน ไกล่เกลี่ย และดำเนินการทางคดีเพื่อให้เด็กปฐมวัยได้รับประโยชน์ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน


ยุทธศาสตร์ที่ 6 การวิจัยพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ จากการถอดบทเรียนสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีวิธีปฏิบัติดีเด่น (Good Practices) ส่งเสริมให้มีการเทียบเคียง (Benchmarking) เพื่อให้เกิดการพัฒนาสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง


และยุทธศาสตร์ที่ 7 การบริหารจัดการ การสร้างกลไกการประสานการดําเนินงาน และการติดตามประเมินผลหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่นไปในทิศทางเดียวกัน


ทั้งนี้ แนวทางการขับเคลื่อนและติดตามประเมินผลแผนดังกล่าว วางกรอบการทำงานระยะแรกในปี พ.ศ. 2564-2565 มุ่งเน้นการเชื่อมโยงองค์ความรู้และการดำเนินงานควบคู่ทั้ง 4 กระทรวง และเผยแพร่เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ผ่านกระบวนการจัดประชุมร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการตามแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่มีรายละเอียดระดับโครงการและงบประมาณรายปีอย่างชัดเจนต่อไป

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ