หนุนปิดร้านเหล้าใกล้มหาวิทยาลัย
การก่ออาชญากรรมและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบริเวณร้านเหล้ารอบสถานศึกษากลายเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แม้ก่อนหน้านี้จะมีการร้องเรียนจากหลายฝ่ายอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีรัฐบาลใดบังคับใช้มาตรการจัดการปัญหานี้อย่างจริงจังและยั่งยืน
กระทั่งหลังสุดเกิดเหตุการณ์นักศึกษา ม.รังสิต ถูกยิงเสียชีวิต ขณะที่ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากร้านเหล้า เมื่อกลางดึกวันที่ 29 พฤษภาคม 2558
ล่าสุด ได้มีการยื่นหนังสือจากเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ นำโดย ธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย พร้อมด้วยนักเรียน นักศึกษาจากหลายสถาบัน กว่า 30 คน ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษาในรัศมีที่กำหนด โดยที่ผ่านมาไม่เคยทำได้ เพราะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย รวมถึงปรับปรุง พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ.2493 ห้ามขายแอลกอฮอล์รอบมหาวิทยาลัยในรัศมี 500 เมตร
นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อธิบายว่าตามหลักการแล้วเราไม่สามารถใช้วิธีใดวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาได้ จำเป็นต้องใช้หลายวิธีพร้อมกัน ซึ่งการจัด โซนนิ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีจัดการการเข้าถึงอบายมุข แต่จะต้องมีวิธีอื่นหนุนเสริมด้วยยกตัวอย่าง การห้ามโฆษณาส่งเสริมการขาย การขึ้นภาษีแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตามการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอาจไม่มีผลใดๆ เพราะผู้ประกอบการร้านเหล้ามีช่องทางเลี่ยงข้อห้ามตามกฎหมายได้ ไม่ว่จะเป็น การจดทะเบียนเป็นร้านอาหาร ด้วยการขอใบอนุญาตขายอาหารจากกองทะเบียนการค้า และใบอนุญาตขายสุราจากกรมสรรพสามิต กรณีนี้ทำให้ผู้ประกอบการเปิดร้านได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ สามารถขายสุรา และเล่นดนตรีภายในร้านได้อีกด้วยลักษณะดังกล่าวมานี้เป็นรูปแบบสถานบันเทิงที่เกิดขึ้นบริเวณใกล้สถานศึกษาในปัจจุบัน
อีกวิธีการหนึ่งที่ถูกเสนอโดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต คือ การใช้กฎหมาย มาตรา 44 ก็อาจจะสามารถควบคุมปัญหาดังกล่าวได้เด็ดขาดและมีอำนาจกว่าการใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 หรือไม่ นพ.สมาน บอกว่า ไม่คัดค้าน หากรัฐบาลจะใช้มาตรา 44 เหมือนกรณีแก้ไขปัญหาบุกรุกป่าไม้ แต่กรณีนี้ร้ายแรงมากกว่า เพราะเป็นการบุกรุกสถานที่บ่มเพาะภูมิปัญญาของชาติ
นพ.สมาน ยังบอกว่า ต้องใช้มาตรการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษาในรัศมีที่กำหนดโดยที่ผ่านมาขับเคลื่อนไม่ได้ เพราะมีผู้มีอำนาจตัดสินใจเกรงจะกระทบกระเทือนต่อผู้ประกอบการและคนส่วนน้อย จึงยังไม่มีการตัดสินใจเกรงจะกระทบกระเทือนต่อผู้ประกอบการและคนส่วนน้อย จึงยังไม่มีการตัดสินใจออกมา
"ไม่มีมาตรการทางกฎหมายใดที่สามารถคุ้มครองประชาชนได้ โดยไม่กระทบเทือนใครเลย จึงอยากฝากให้ภาครัฐชั่งน้ำหนักในการบริหารประเทศต้องคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว" นพ.สมาน กล่าว
ด้าน ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ขยายความถึงการผลักดันการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตลอด 5-6 ปี แต่ยังไม่สำเร็จ ส่วนใหญ่ทางฝ่ายการเงินจะกลัวว่าธุรกิจจะเดือดร้อนโดยนับตั้งแต่การขับเคลื่อนรณรงค์จนถึงปัจจุบัน มีร้านเหล้าเพิ่มขึ้นเกือบ 80% หากเราทำสำเร็จตั้งแต่วันนั้นร้านเหล้าใหม่คงไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้บางคนมองว่า ปัญหาอาชญากรรมและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากตัวนักเรียนนักศึกษามากกว่า
ธมกร วัชรอาภานุกร นักศึกษาชั้นปี 3 คณะดิจิทัลอาร์ต มหาวิทยาลัยรังสิต แสดงความคิดเห็นในฐานะเคยใช้บริการร้านเหล้าข้างมหาวิทยาลัยมาแล้ว ต่อมาให้มีการจัดโซนนิ่งพื้นที่ตั้งร้านห่างออกไป 500 เมตร ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี ถ้าร้านเหล้ายังเปิดกิจการอยู่ และคิดว่าพฤติกรรมของนักเรียนนักศึกษาก็มีส่วนให้เกิดปัญหาด้วย
ขณะที่ ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ รองผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ปัญหาเกิดขึ้นมาจากทั้งสองฝั่ง เมื่อมีความต้องการซื้อ ก็มีความต้องการขาย เป็นเรื่องปกติ ถ้าร้านเหล้าเปิดแล้วเด็กไม่กิน ก็ไม่มีอะไร หรือเด็กอยากกิน แต่ไม่มีร้านเหล้าเปิด ก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะสร้างสังคมดีได้อย่างสมบูรณ์แบบเพียงแต่ประเทศที่บริหารจัดการได้ดีจะรู้ว่าสิ่งไม่ดีควรอยู่ตรงไหน
เมื่อถามถึงพฤติกรรมของเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกกระตุ้นด้วยสภาพแวดล้อมในยุคปัจจุบันจึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาที่ตามมา ผศ.ดร.วิมลทิพย์ อธิบายเป็นเรื่องธรรมดาในเด็กทุกรุ่นมีความอยากเข้าสถานบันเทิง เพราะสถานที่ดังกล่าวน่าสนใจในสายตาวัยรุ่น ทว่า ตราบใดสถานที่ไม่ดีเหล่านี้ไม่ตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษา และมีการเข้าถึงได้ยาก ปัญหาจะไม่เกิดขึ้น
"เด็กเป็นผลผลิตของผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่มีสามัญสำนึก รู้ว่าอะไรควรไม่ควร สังคมก็จะพัฒนา ไปในทางที่ดีขึ้นหากกฎหมายมีความเข้มแข็ง สถาบันครอบครัวเองก็ไม่ควรผลักภาระให้กับสถานศึกษา เพราะครอบครัวมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในตัวเด็กและเยาวชนเช่นกัน" นักวิชาการเด็กและครอบครัว กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับท่าทีของรัฐบาล บิ๊กตู่ ออกมาแสดงท่าทีกังวลต่อเหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้นพร้อมขีดเส้นจะดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาจากเบาไปหาหนัก ควบคู่กับการทำความเข้าใจ พร้อมให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัวถึงสิ้นมิถุนายน 2558 หากพบว่าตั้งใกล้สถานศึกษาต้องเลิกกิจการทันที โดยไม่มีข้อแม้
บทสรุปของปัญหาร้านเหล้าใกล้สถานศึกษา ไม่เพียงขึ้นอยู่กับการออกประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรีที่ยังคงรอการตัดสินใจของรัฐบาลในยุคปัจจุบัน แต่ต้องอาศัยหน่วยงานทุกภาคส่วนและพลังสังคมร่วมกันแก้ไข โดยมีกฎหมายที่เข้มแข็งเป็นบรรทัดฐาน เพื่อการบริหารจัดการปัญหาภายในประเทศได้อย่างยั่งยืน
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต